หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: คุณลดน้ำหนักถูกไหม?  (อ่าน 1471 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,135
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 11 เมษายน 2558, 10:07:02 AM »

Permalink: คุณลดน้ำหนักถูกไหม?





คุณลดน้ำหนักถูกไหม?



"อ้วน" หรือ "ภาวะโภชนาการเกิน"
กลายเป็นปัญหาระดับโลกไปแล้ว เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ทั่วโลกเจ็บป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด
 และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ เรียกว่า "เอาไม่อยู่"
องค์การอนามัยโลกฟันธงมานานว่า สาเหตุแห่งอ้วน ร้อยละ 70-80 เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์
 ส่วนที่เหลือน้อยนิดเกิดจากกรรมพันธุ์และความผิดปกติของร่างกาย มนุษย์ส่วนมากไม่ได้แก้ปัญหาอ้วนที่ต้นเหตุ
คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน อยู่แบบเคลื่อนไหวร่างกายให้ถูกต้อง แต่กลับไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบผิดๆ
 จึงไม่มีวันเอาชนะโรคอ้วนได้

การมีดารา นางแบบ นายแบบ หรือบุคคลสาธารณะ พาเรดกันอวดอ้างวิธีการลดน้ำหนักว่าได้ผลนั้น
หากวิเคราะห์เจาะลึกให้ละเอียดแล้ว ส่วนมากมักจะขาดหลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง
 ที่วงการแพทย์และนักโภชนาการยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะลดน้ำหนักโดยการอดอาหารบางมื้อ หรือกินอาหารจำกัด
แคลอรีต่ำจนเกินที่คนทั่วไปจะมีชีวิตอยู่รอดได้ และที่ฮิตตลอดกาลคือ กินยาหรืออาหารเสริมลดน้ำหนักจนเกิดผลข้างเคียง
ลดน้ำหนักโดยการอดอาหารหรือจำกัดแคลอรีมากเกินเหตุ เป็นการลดที่ผิดธรรมชาติ ไม่สามารถจะลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน
น้ำหนักคุณลดลงได้จริงในช่วงที่อดอาหาร ลดได้เยอะด้วย แต่คุณไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ในระยะยาว
เพราะการกินอาหารให้ได้พลังงานเพียงวันละ 400-500 กิโลแคลอรี

ปกติคนทั่วไปกินอาหาร 1,600-2,000 กิโลแคลอรี แต่ถ้าจะลดน้ำหนัก ควรจำกัดให้เหลือ 1,200-1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน
น้ำหนักคุณจะลดได้แบบไม่โหย การลดน้ำหนักได้เพราะจำกัดพลังงานที่ได้จากอาหารเพียง 400 แคลอรีต่อวัน
สักพักหนึ่งคุณจะต้องกลับมากินอาหารให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะร่างกายไม่สามารถทนต่อการขาดพลังงานในระยะยาวได้
คราวนี้น้ำหนักคุณก็จะดีดขึ้นมามากกว่าเดิม อาการนี้เรียกว่า "โยโย้เอฟเฟ็กต์"
เพราะร่างกายจะสะสมมวลไขมันมากกว่าเดิม และถ้าจะลดอีกรอบจะยากขึ้น

คนที่อดอาหารมื้อเช้าเป็นประจำในระยะยาว จะมีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนมากกว่าคนที่กินอาหารเช้าด้วยเหตุผล 3 ประการ
1.ไม่กินอาหารเช้า สายๆ พลังงานที่สะสมไว้ตั้งแต่มื้อเย็นจะหมด แสดงอาการออกมาด้วยการโหยหิว
เลยไปกินเบรกอาหารว่าง กาแฟ ขนมหวานที่มีแต่แป้ง น้ำตาล ไขมัน จึงอ้วน
2.ไม่กินมื้อเช้า จะกินจุบจิบและกินชดเชยมื้อเที่ยงและมื้อเย็น กินเสร็จนอน
ไม่ได้เผาผลาญก็อ้วนตามระเบียบ และ
3.ไม่กินมื้อเช้า การเผาผลาญจะลดลงร้อยละ 30 เลยเก็บไว้ในรูปไขมัน
การกินยาและอาหารเสริมลดน้ำหนัก วงการแพทย์ไม่แนะนำ แต่มียาบางตัวที่แพทย์ใช้ในการลดน้ำหนักในผู้ป่วย
ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ แต่พฤติกรรมการซื้อยาลดน้ำหนักมากินเองของคนไทย คือปัญหาใหญ่มากในขณะนี้
 ส่วนมากเป็นยาอาหารเสริมที่ผิดกฎหมาย อย. ฤทธิ์หรือกลไกการทำงานของยา คือจะไปทำให้ประสาทส่วนกลางไม่รู้สึกหิว
พอไม่กินหรือกินน้อย น้ำหนักจึงลดได้ แต่พอกินติดต่อกันนานๆ เข้า นอกจากสิ้นเปลืองเงิน
 เริ่มเกิดอาการข้างเคียงต้องหยุดกิน คราวนี้จึงกลับมาอ้วนใหม่

หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง

1.เป้าหมายการลดน้ำหนักต้องมุ่งลดเพื่อสุขภาพในระยะยาว
2.ต้องลดให้ได้แบบยั่งยืนไม่กลับมาอ้วนใหม่
3.วิธีการลดน้ำหนักต้องอยู่ในวิถีชีวิต ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักดิบ และ
4.ต้องมีความมุ่งมั่นอดทน

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รณรงค์การลดอ้วนลดพุงด้วย 3 อ. มาตั้งแต่ปี 2549 แต่ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย
เพราะขาดยุทธศาสตร์ที่ต่อเนื่อง
1.อ.อารมณ์ คือ
ต้องทำโดยการหาแรงจูงใจให้ตัวเองว่าลดน้ำหนักเพื่ออะไร
2.อ.อาหาร ต้องลดการกินแป้ง
 อาหารหวาน อาหารไขมันสูง หันไปกินผักผลไม้ที่หวานน้อยให้มากขึ้น
 และลดปริมาณอาหารให้น้อยลง และ
3.อ.ออกกำลังกาย ต้องออกกำลังแบบแอโรบิกที่ให้ร่างกายได้ออกซิเจนเข้าไปเผาผลาญไขมันในร่างกาย
ออกให้ได้สัปดาห์สัปดาห์ละ 4-5 วัน วันละ 1 ชั่วโมง

โปรดจำไว้ เป้าหมายสำคัญของการลดน้ำหนักคือ มีสุขภาพดี พอลดได้ถูกวิธี ความสวย ความหล่อ ก็จะตามมาเอง

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com/pin/573646071262263738/


ที่มา...S campus





บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: