-/> Chat ทั้งวัน อะไรกันเนี่ย !

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: Chat ทั้งวัน อะไรกันเนี่ย !  (อ่าน 2612 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,135
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 11 ตุลาคม 2556, 02:35:28 PM »

Permalink: Chat ทั้งวัน อะไรกันเนี่ย !



Chat ทั้งวัน อะไรกันเนี่ย !




รู้สึกไหม…
บนรถไฟฟ้า คนมองหน้ากันน้อยลง … บนรถเมล์ ไม่มีใครสนใจความเคลื่อนไหวนอกหน้าต่าง …
บนรถส่วนตัว มีบางสิ่งวางอยู่บนพวงมาลัยรถตลอดเวลา

รู้สึกไหม…
ในโรงหนัง มีบางคนไม่ได้เงยหน้าดูหนังเลยตลอด 2 ชั่วโมง … ในร้านอาหาร เสียงคนคุยกันดัง ติ๊ด ติ๊ด …
 ในห้องประชุม นิ้วสำคัญกว่าปาก

ถ้ารู้สึกว่านี่คือพฤติกรรมที่ผิดปกติของคนสังคมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ รีบไปหาหมอเถอะ
ด้วยวัฒนธรรมการบริโภค ที่เกินกำลังของคนไทย(บางส่วน) ทำให้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆ
 เข้ามาก็อ้าแขนรับกันอย่างไม่มีข้อสงสัย ผลประโยชน์ทั้งหลายตกแก่ผู้ผลิต

ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนที่โอนโลกออนไลน์มาไว้ในโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวเสร็จสรรพ
หรือ PDA (อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก) ที่ย่อแอพลิเคชั่นสารพัดเพื่อมอบความสะดวกสบาย
ให้กับผู้เป็นเจ้าของ แต่…ก่อนจะไปตำหนิติติงเทคโนโลยี ผู้บริโภคต้องหันมาดูตัวเองด้วยว่า
 คุณใช้ประโยชน์จากสิ่งที่กล่าวมานั้นแค่ไหน

บางรายไม่ดู ซ้ำหลับหูหลับตาใช้แบบไม่มีข้อสงสัย ใช้ถูกบ้าง ผิดบ้างไม่รู้ ขอมีโชว์ไว้ก่อนเป็นใช้ได้
แล้วก็แปลกที่แม้จะไม่มีนิโคติน หรือสารเสพติดใดๆ พี่ไทยบางคนก็หลงเจ้าเทคโนโลยีไร้สายนี้กันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
 ในต่างประเทศเรียกกลุ่มคนที่ติดสมาร์ทโฟนบางยี่ห้อว่า CrackBerry และ iDouche

CrackBerry หมายถึง กลุ่มคนที่วันๆ เอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์เพื่อเช็คเมล ดูข้อความ และกดๆ จิ้มๆ ทั้งวัน
โดยที่ไม่สนใจคนอื่น ประธานาธิบดีเมืองลุงแซมอย่าง บารัค โอบามา ก็สังกัดกลุ่ม CrackBerry
ส่วน iDouche ก็ไม่ต่างกัน คือจะเป็นพวกบ้าเทคโนโลยีที่มี i นำทั้งหลาย และใช้ i
 เหล่านี้ในการโอ้อวดฐานะของตัวเองในสังคม ทั้งๆ ที่บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า i มันทำอะไรได้บ้าง

ศัพท์นิยามต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากผู้สร้างเทคโนโลยี แต่เป็นคำที่บัญญัติขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ของผู้บริโภค
 และอย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นเรื่องว่า ถ้าลองสังเกตให้ดี คนในสังคมไทยทุกวันนี้คุยกันน้อยลง(หมายถึงสื่อสารด้วยอายตนะ)
 แต่จะสนใจและหมกมุ่นอยู่กับเทคโนโลยีเล็กๆ ในมือมากกว่า ซึ่งเทคโนโลยีเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
จะไปโทษว่าผิดก็คงไม่ใช่ ผู้บริโภคต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง

ป่วยจิต
ไม่เฉพาะร่างกายภายนอกเท่านั้นที่เจ็บป่วย ทว่าอาการภายในที่ซ่อนอยู่ยังก่อให้เกิดภาวะ “ขาดปฏิสัมพันธ์กับสังคมรอบข้าง” ด้วย
 เรียกว่าคะแนนจิตพิสัยในโลกออนไลน์เต็ม 10 แต่ในโลกที่ทุกชีวิตยังหายใจ ทำไม่ได้แม้แต่คะแนนเดียว

“คนไทยมีปัญหากับวิธีคิด อยู่กันแบบเสพสุข อยู่กันแบบสนุกสนานไปวันๆ ไม่เคยพัฒนาตัวเอง ซึ่งพอว่างก็หมกมุ่นอยู่กับสิ่งพวกนี้
เป็นโรคซึมเศร้าน่ะ ต้องเกาะอยู่กับอะไรสักอย่าง ส่ง BB ทั้งวัน ถ้าตัวเองไม่ส่ง หรือถ้าไม่มี message มาจากเพื่อนก็จะ…
ไม่ได้แล้ว มันเหงา มันซึมเศร้า” นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ประจำ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์บอก

อีกกลุ่มคือพวกที่มีปัญหาบุคลิกภาพ คุณหมอว่ากลุ่มนี้จะมีลักษณะของการไม่ยอมรับนับถือตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า
 จึงต้องหาการยอมรับจากภายนอก ซึ่งการมีเทคโนโลยีเหล่านี้ไว้ในครอบครอง
ในความคิดของคนกลุ่มนี้จะถือว่าเป็นการแสดงสถานะที่คนทั่วไปต่างยอมรับและปกป้องไม่ให้คนดูถูก

“หมอว่าการใช้ BB ก็ไม่ต่างจากการใช้รถ มีแค่ไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ดูสมรรถนะของมันจริงๆ
 แต่ส่วนใหญ่เอาแพง เอาหรูไว้ก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้อง self ของตัวเอง
ส่วนใหญ่ปัญหาทั้งหมดมันรวมอยู่เรื่องเดียวนั่นคือ self คนไทยเป็นแบบนี้เยอะ มองว่าตัวเองด้อยค่า
 แต่ถ้าเรา self ดีหน่อย เราจะยอมรับนับถือตัวเอง”

ถามว่าถ้า self esteem ไม่ดีแบบนี้ เรียกว่าผู้ป่วยทางจิตได้หรือไม่ จิตแพทย์หนุ่มบอก
 ต้องวิเคราะห์กันให้ละเอียดลึกซึ้ง เพราะปัญหาทางจิตเวชมีมากมายเกินกว่าจะมานั่งตัดสินกันด้วยพฤติกรรมไม่กี่อย่าง

“ป่วย ต้องแยกดีๆ นะ มันมีหลายแบบ ใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็มีปัญหาสุขภาพจิต ถ้าใช้ทำงาน เกิดประโยชน์
 อันนี้ก็ไม่ผิดปกติ แต่ประเภทที่นั่งเฝ้ารอ message เข้ามา เราต้องมาดูว่าป่วยแบบไหน ป่วยที่บุคลิกภาพ
 มีภาวะซึมเซร้า หรืออารมณ์แปรปรวน อันนี้บอกยาก ดูเผินๆ แล้วปกติ แต่กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมาปรึกษาหมอหรอก
 เพราะเขาก็มองว่าตัวเองปกติ คนในสังคมที่หอบโน้ตบุ๊ค ถือ BB ไปเพื่อ chat กัน หมกมุ่นอยู่กับการนั่งเล่น BB ทั้งวัน
 เล่น facebook กันทั้งวันแบบนี้หมอแอนตี้เลยนะ ถ้าคนปกติจะ control ได้ แต่คนพวกนี้จะ out of control ไปเลย
 เป็นพวกที่มีอาการของโรคซึมเศร้า เหมือนคนติดยาเสพติด เสพติดเซ็กซ์ หรืออะไรก็ตามแต่ จะอยู่ในกลุ่มนี้”

คุณหมอกัมปนาทยอมรับว่า บุคคลกลุ่มที่เสพติดโลกออนไลน์มีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลที่ส่งผ่านกันแม้ ไม่ได้เห็นตัวตนมากขึ้น
 ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว สังคมออนไลน์เป็นสังคมแห่งการโกหก

“รู้หน้ายังไม่รู้ใจเลย ถ้าคิดว่าโลกไซเบอร์มันช่วยให้คุณรู้จักคนอื่น หรือเปิดเผยตัวตนกันมากขึ้น เข้าใจผิดแล้ว
 จะรู้จักใครสักคนมันต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน ต้องใช้เวลาในการสัมผัสกัน แต่เหล่านี้มันเป็นโลกสมมติทั้งนั้น
เขาส่งรูปแลบลิ้นปลิ้นตาให้คุณ แต่ใจจริงเขาอาจจะจะอยากฟันคุณก็มี อันนี้มันเป็นเทคโนโลยีสำหรับคนโง่
คนรอบข้างหมอหลายคนที่เป็นจิตแพทย์นี่แหละ บางคนสอนชาวบ้านอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ตัวเองมานั่งเล่น
ตื่นเช้ามาก็กด เล่นทั้งวัน ห้าทุ่มเที่ยงคืนยังเล่นเลย ถามว่ามันคือภาวะอะไร ย้ำคิดย้ำทำ ชีวิตตัวเองหาความสุขไม่ได้
 พอว่างปุ๊บ กด BB นั่งดู facebook จะเป็นจะตายเลยนะ นั่นเพราะเราทำชีวิตของเราเอง”

จุดที่น่ากลัวคือเยาวชนที่เห่อตามแฟชั่น เพราะจะทำให้เด็กอยากมี อยากได้ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น
 ซึ่งวิธีการของการได้มานั้นก็จะแตกต่างกันไป คือ มีตั้งแต่ขอเงินพ่อแม่ ออดอ้อนสารพัด เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะชักสีหน้า
 แสดงอารมณ์ จนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นขโมย ฉกชิงวิ่งราว บ้างก็ทำสิ่งผิดกฎหมาย เช่น ขายยาเสพติด ขายบริการทางเพศ ฯลฯ
 เหล่านี้ล้วนแต่สร้างปัญหาสังคมทั้งสิ้น

“ต้องดูว่าคนที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้เขามี background เป็นอย่างไร คือถ้าเราลองเอาหัวใจเราเข้าไปนั่งในหัวใจเขา
 แค่จะมาพูดว่า ต้องมีสตินะ อะไรนะ มันไม่สามารถดึงคนเหล่านั้นออกมาจากภาวะที่เป็นอยู่ได้เลย แต่ถ้าเป็นหมอ
หมอจะดูว่า background เป็นยังไง ถ้าดูอาการแล้วป่วย ส่งให้หมอรักษา แต่ถ้าเป็นกรณีหลงไปชั่วครั้งชั่วคราว
 ก็ดูว่าจะมีกิจกรรมหรืออะไรมาเบรกได้มั้ย ครอบครัวมาช่วยกันดู หรือตั้งกฎเกณฑ์ออกมาเลย หรือพวกที่ self esteem ไม่ดี
เราก็ต้องทำจิตบำบัดมันถึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้ามาบอกว่า สังคมต้องช่วยกัน มันไม่ practical หรอก”

นอกจากปัญหาทางจิตแล้ว คุณหมอกัมปนาทยังขู่ว่า ถ้าใช้อุปกรณ์สื่อสารเหล่านี้พร้อมๆ กับทำกิจกรรมอื่นๆ
อาจเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมได้

“มีคำหนึ่งที่เรียกว่า multitasking คือทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งในระยะยาวแล้วมันจะทำให้สมองเราเจ๊งเร็ว
เหมือนเราเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดหลายๆ วินโดว์พร้อมๆ กัน เมื่อเครื่องทำงานไม่ทัน มันก็เจ๊ง อันนี้ก็จะคล้ายกัน
เดินไปจิ้ม BB ไป หรือขับรถไปจิ้ม BB ไป เปิด iPad ไป ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ มันเรื้อรัง แล้วพอมากๆ เข้าก็เจ๊ง
 หมอว่าเราต้องพูดกันบ้างเรื่องนี้ มันน่ารำคาญมาก คือสมองเราต้องมีเวลาพักผ่อนบ้างนะ” จิตแพทย์หนุ่ม ย้ำเตือน

อ่านจบก็ลองหันซ้าย หันขวา แล้วสังเกตพฤติกรรมดูว่า มีใครเข้าข่าย “ป่วย” หรือยัง

นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์




บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,135
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« ตอบ #1 เมื่อ: 12 กันยายน 2564, 11:31:25 AM »

Permalink: Re: Chat ทั้งวัน อะไรกันเนี่ย !
1290
บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: