หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น บนบ่าของแม่  (อ่าน 1058 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 2654
เหรียญรางวัล:
มีความคิดสร้างสรรค์นักโพสดีเด่น
กระทู้: 139
ออฟไลน์ ออฟไลน์
อีเมล์
   
« เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2563, 07:30:41 AM »

Permalink: เรื่องสั้น บนบ่าของแม่
เรื่องสั้น

บนบ่าของแม่

โดย...พิมพ์ใจ ประดับจันทร์

        ตีนฟ้ายกสูง ตะวันสาดแสงจ้า ความร้อนระอุอบอ้าวเริ่มแผ่กำจายขึ้นตามลำดับ ฉันยังนอนอุตุอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ที่ทำเป็นเตียงนอน ในห้องแคบๆ รู้สึกมึนหัวนิดๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายจะเป็นไข้ ฝอยฝนเมื่อเย็นวาน ที่ฉันเดินฝ่ามันกลับบ้านหลังเลิกเรียน คงเล่นงานฉันเข้าแล้ว บิดตัวไปมา ไล่ความเมื่อยขบและความขี้เกียจ รู้สึกคลายกล้ามเนื้อดีขึ้น เสียงโขลกน้ำพริกของแม่ดังมาจากในครัวลั่นบ้าน คงได้ยินไปถึงปากซอยโน่นแน่ะ ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุดเรียน จึงถือโอกาสตื่นสายได้
        “อร ตื่นหรือยังลูก?” เสียงแม่เรียกถามมาจากในครัว หลังจากเสียงโขลกน้ำพริกสงบลง ฉันรู้ว่าแม่มีเรื่องไหว้วาน หรือใช้สอยให้ช่วยอะไรสักอย่าง ปกติจะให้ไปซื้อน้ำตาลทราย มาทำน้ำเชื่อมขนมลอดช่องสิงคโปร์ หรือไม่ก็เครื่องปรุงอาหาร ที่ร้านอาแป๊ะปากซอย ซึ่งแม่จะทำลอดช่องสิงคโปร์และอาหาร หาบเร่ไปขายในหมู่บ้านทุกวัน
        “ยังค่ะแม่ อรรู้สึกไม่สบาย” ฉันร้องตอบแม่ไปตามตรง ด้วยอาการมันฟ้อง
        “แม่บอกแล้วว่าอย่าตากฝน” แม่บ่นพึมพำ “รีบลุกล้างหน้าล้างตา กินยากันไว้ก่อนลูก”
         น้ำเสียงแม่ห่วงใย และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อฉันเสมอ ฉันงัวเงียลุกจากที่นอน เดินโซเซไปเปิดประตู บ้านหมุนคว้าง หน้ามืดตาลาย รีบคว้าขอบประตูไว้แน่น ยืนหลับตานิ่งนาน ก่อนจะไปทำกิจวัตรส่วนตัวในห้องน้ำจนเสร็จ แม่ยกสำรับกับข้าวมาไว้ที่โต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นโต๊ะตัวสุดท้ายที่พ่อทำให้แม่ก่อนที่จะจากพวกเราไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อ ๔ ปีก่อน
        “กินข้าวแล้วรีบกินยาซะ” แม่บอกด้วยความห่วงใย ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ กวาดสายตาสำรวจกับข้าวฝีมือแม่ มีแต่อาหารโปรดของฉันทั้งนั้น ดูสิอ่อมกบใส่ผักอีเลิด (ชะพลู) หอมฉุยๆ เตะจมูก ป่นปลาดุกน้ำข้น ผักชีโรยหน้านิดๆ เจือกลิ่นปลาแดก (ปลาร้า) อ่อนๆ เครื่องเคียงมีต้มหน่อไม้ไร่ หน่ออ่อนขาวอวบ หวานอร่อย ผักแว่น ซึ่งเป็นผักที่ขึ้นตามธรรมชาติในทุ่งนาหน้าฝน ถึงจะเป็นอาหารโปรดแต่ฉันก็กินได้นิดเดียว เพราะขมปาก หลังกินข้าวเสร็จประมาณ ๕ นาที ก็กินยาแก้ไข้ตามลงไป ก่อนจะไปนอนพักผ่อนที่แคร่ หรือเตียงนอนต่อ ปล่อยให้แม่ทำอาหารและขนมลอดช่องคนเดียว ซึ่งปกติฉันจะช่วยแม่ทำทุกวันก่อนไปโรงเรียน ฝีมือทำกับข้าวและขนมลอดช่องสิงคโปร์ของแม่ ใคร ๆ ต่างโจษจันไปทั้งหมู่บ้าน ว่าแม่ทำอร่อย ขายเกลี้ยงทุกวัน ทุกเช้าหลังจากทำอาหารเสร็จ แม่ก็จะทำขนมลอดช่องต่อ จนเกือบเที่ยงแม่จึงได้หาบเร่ไปขายในหมู่บ้าน แม่คงจะเหนื่อยไม่น้อย บนบ่าของแม่แบกภาระไว้หนักอึ้ง บางวันฉันเห็นแม่แอบร้องไห้ แม่คงคิดถึงพ่อ หรือไม่ก็คงน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง ที่ต้องทนลำบากตรากตรำทำงาน หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว และส่งฉันเล่าเรียน ฉันสงสารแม่จับใจ แต่ก็ช่วยแม่ เท่าที่จะช่วยได้ บางครั้งฉันเคยถามแม่ว่า แม่เหนื่อยไหม แม่มักจะตอบยิ้มๆว่า ไม่เหนื่อยหรอก เพื่อลูก ถึงจะเหนื่อยแม่ก็ทนได้ ฉันกอดแม่ร้องไห้ แม่ปลอบฉัน และบอกว่า
       “แม่อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ ต่อไปภายหน้า จะไม่ได้ลำบาก ลูกต้องตั้งใจเรียน เพื่ออนาคตที่ดี”
       “จ้ะแม่ หนูจะตั้งใจเรียน ไม่ทำให้แม่ผิดหวัง” ฉันสัญญากับแม่ แม่ยิ้มทั้งน้ำตา ตั้งแต่พ่อจากไป เคยมีผู้ชายหลายคนแวะเวียนมาเกี้ยวพาราสีแม่ แต่แม่ปฏิเสธ บอกว่าชาตินี้จะไม่ขอแต่งงานอีก จะอยู่ดูแลลูกให้ดี แม่ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวฉัน แม่รักฉันดั่งแก้วตาดวงใจ ฉันเองก็รักและเทิดทูนแม่ไว้เหนือเกล้า แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลแม่เป็นอย่างดีเช่นกัน นอนครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา ก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ไม่รู้ว่าแม่หาบเร่ลงจากเรือนไปตอนไหน
       “อร…อร อยู่ไหมจ๊ะ” เสียงตะโกนโหวกเหวกที่หน้าบ้าน ทำให้ฉันสะดุ้งตื่น เหงื่อโซมกายเพราะฤทธิ์ยาที่ขับพิษไข้ออกมา อาการมึนหัวและครั่นเนื้อครั่นตัวหายไปแล้ว เหลือแต่ความเมื่อยล้านิด ๆ
       “อร…อรอยู่บ้านไหม?” เสียงตะโกนเรียกดังมาอีก ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปดูที่หน้าบ้าน ฟังดูน้ำเสียงคุ้น ๆ ใช่แล้วอนงค์เพื่อนสนิทฉันนั่นเอง
       “มีอะไรเหรอนงค์ ตะโกนลั่นเชียว” ฉันร้องถามด้วยความอยากรู้ปนหงุดหงิด คำตอบของอนงค์ ทำเอาฉันถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น
       “แม่แกถูกรถชน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลชุมชน รีบไปดูอาการ เร็วสิ”
        ฉันรีบเผ่นลงจากบ้านโดยลืมอาการป่วยสิ้นเชิง อนงค์ซึ่งเอามอเตอร์ไซค์มารับฉัน บิดคันเร่งตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลชุมชน ซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้านทางทิศใต้ ไกลจากบ้านฉันประมาณ ๘๐๐ เมตร แม่นอนนิ่งที่เปลคนไข้ เลือดแดงฉานอาบกาย คุณหมอและพยาบาล กำลังช่วยกันเข็นร่างของแม่เข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน
      “แม่จ๋า แม่อย่าเป็นอะไรนะ แม่ต้องอยู่กับหนู” ฉันร้องไห้ รำพึงรำพันออกมาอย่างไม่อาย อนงค์กอดและประคองฉันไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ใจคอฉันไม่ดีเลย ภาวนาคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองให้แม่ไม่เป็นอะไร นานหลายชั่วโมงกว่าคุณหมอจะออกมา ฉันรีบถลาไปถามคุณหมอด้วยใจที่ร้อนรน
      “คุณหมอคะ แม่หนูเป็นอย่างไรบ้างคะ?” คุณหมอมองหน้าฉัน ด้วยอาการเคร่งขรึม ก่อนตอบเสียงราบเรียบ
      “แม่หนูปลอดภัย” โลกทั้งโลกสว่างไสวขึ้นทันใด
      “ขอบพระคุณค่ะคุณหมอ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอด้วยความดีใจ น้ำตาไหลพราก ผวาเข้ากอดอนงค์อย่างลืมตัว…*

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: