หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ไวรัสตับอีกเสบ บี  (อ่าน 2181 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,136
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 04 กันยายน 2556, 08:43:25 AM »

Permalink: ไวรัสตับอีกเสบ บี




ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดบีในเมืองไทยจำนวนมาก
โดยที่ผู้ป่วยเหล่านี้อาจไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยเหล่านี้ บางคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าตัวเองเป็นโรคนี้
จนกระทั่งไปตรวจเลือด จึงพบว่าเป็นโรคนี้ก็มี หรือบางคนไปบริจาคโลหิต แล้วจึงทราบว่าเป็นโรคนี้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จำนวนหนึ่งจะกลายเป็นโรคร้ายแรงซึ่งจะได้กล่าวต่อไป โรคไวรัสตับอักเสบชนิดติดต่อกันได้อย่างไร

ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ส่วนมากไม่ทราบว่าติดโรคนี้มาได้อย่างไร การติดต่อของโรคนี้ติดต่อกันได้ ที่สำคัญมี 4 ทาง คือ

1. ติดต่อทางเลือด โดยได้รับเชื้อจากการได้รับเลือดจากผู้ที่เป็นโรคนี้ ปัจจุบันเราพบการติดต่อทางนี้น้อยลง
 เพราะเรามีการตรวจเลือดก่อนที่จะนำมาให้คนไข้

2. ติดต่อทางน้ำลาย การรับประทานอาหารร่วมกับคนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มีโอกาสจะติดต่อกันได้ง่าย
 เพราะการรับประทานอาหารของคนไทยมักจะลืมใช้ช้อนกลาง ทำให้มีโอกาสติดโรคนี้ได้ง่าย

3. ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้ มีโอกาสจะติดโรคนี้ได้

4. ติดต่อจากมารดาสู่บุตร การติดต่อนี้จะมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อได้ในระหว่างคลอด
จึงควรมีการตรวจเลือดมารดาในตอนที่ฝากครรภ์ ถ้าพบว่ามารดามีเชื้อโรคนี้อยู่
ควรให้วัคซีนแต่ทารกตั้งแต่แรกเกิด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้
 อาการของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี เป็นอย่างไร

อาการของโรคนี้ แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ

1. มีอาการน้อย จนผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไปแทบจะไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาทราบทีหลัง
โดยการเจาะเลือด หรือไปบริจาคโลหิตจึงทำให้ทราบว่าเป็นโรคนี้

2. มีอาการชัดเจน ได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหารนำมาก่อน
ต่อมามีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม เมื่อมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองเกิดขึ้นแล้ว
อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารก็มักจะดีขึ้นหรือหายไป ผู้ป่วยจะมีระยะเวลาที่ตาเหลืองตัวเหลืองไม่เท่ากัน
บางคนอาจเป็นเพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่บางคนอาจนาน 2-3 เดือน

3. ผู้ป่วยบางรายมีอาการรุนแรงมาก จนมีอาการซึม ตาเหลือง ตัวเหลือง ไม่รู้สึกตัว ตับมีขนาดเล็กลง
 ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะตับวายและเสียชีวิตในที่สุด แต่โชคดีมีผู้ป่วยจำนวนน้อยมาก
ที่จะเป็นแบบนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ได้ผลดีที่สุด
วิธีที่ได้ผลดีในขณะนี้ก็คือ การเปลี่ยนตับ ซึ่งก็มีปัญหาหลาย ๆ อย่างดังนี้

3.1 มีผู้บริจาคตับจำนวนน้อย ทำให้ไม่เพียงพอที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยส่วนใหญ่
ตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยโรคนี้มักจะได้มาจากผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ตับยังดีอยู่
ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากญาตผู้ป่วยด้วย

3.2 เนื้อเยื่อของตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยต้องเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อของผู้ป่วยด้วย

3.3 ผู้ป่วยที่มีภาวะตับวาย มักจะมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น สมองบวม, ปอดบวม,
 เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถจะเปลี่ยนตับให้แก่ผู้ป่วยได้

3.4 ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนตับ จำเป็นต้องได้รับการรับประทานยากดภูมิต้านทาน
 เพื่องป้องกันไม่ให้ร่างกายนั้น มีปฏิกิริยากับตับที่นำมาเปลี่ยนให้ การได้รับยาชนิดนี้นาน ๆ
ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
 ผู้ป่วยที่มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง หรือที่เรียกอีกอย่างว่า อาการดีซ่าน
 ทุกคนต้องเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไม่

ผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่านคือ ตาเหลือง ตัวเหลือง ไม่จำเป็นต้องเป็นไวรัสตับอักเสบบี
เพราะสาเหตุของอาการดีซ่าน มีได้หลายอย่าง ได้แก่

1. จากการทำลายของเม็ดเลือดแดงมากเกินปกติ ทำให้เกิดภาวะดีซ่านขึ้นได้
เช่น การให้เลือดผิดหมู่เลือดหรือดรค G-6, P-D เป็นต้น

2. จากภาวะตับอักเสบซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

2.1 จากไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบ ชนิด A, B, C, D และ E

2.2 จากยาบางชนิด ยาหลายตัวที่มีพิษต่อตับ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น ยาซัลฟา,
 ยาเตตราซัยคลิน, ยาอีรีโทรมัยซิน เป็นต้น ยารักษาโรควัณโรคหลายตัวก็มีพิษต่อตับ
นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายชนิดซึ่งทำให้เกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะรับประทานยาชนิดใด
ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะยานั้นอาจมีพิษต่อร่างกายได้

2.3 จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ทุกชนิด เช่น เบียร์
วิสกี้ เหล่า ไวน์ เป็นต้น มีโอกาสจะเกิดภาวะตับอักเสบได้ เพราะแอลกอฮอลล์นั้น
เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีพิษต่อตับทำให้เกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณและระยะเวลาที่ดื่มด้วย
ถ้าดื่มปริมาณมากและระยะเวลานานก็มีโอกาสจะเกิดตับอักเสบได้มากขึ้น

2.4 จากสารพิษบางชนิด ในปัจจุบันมีการใช้สมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย
ซึ่งสมุนไพรบางชนิดอาจมีพิษต่อตับได้ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ดังนั้นการที่จะรับประทานสมุนไพร
ไม่ว่าจะเป็นยาลูกกลอน ยาหม้อ, ยาดองเหล้า ฯลฯ จึงควรต้องระมัดระวังว่า
อาจมีโอกาสที่จะเกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
เมื่อเป็นแล้วจะเป็นเรื้อรังทุกราย หรือไม่

- ไม่เป็นตับอักเสบเรื้อรังทุกราย ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสลชนิดบีเข้าไปครั้งแรก
 จะมีอาการน้อยจนถึงมีอาการรุนแรงดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ผู้ป่วยเหล่านี้ประมาณ 10% เท่านั้น
ที่จะเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือพาหะของโรค ส่วนใหญ่ประมาณ 90% จะหายเป็นปกติ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นโรคไวรัสตับบีเรื้อรัง หรือพาหะของโรคนี้ หรือเปล่า

- ถ้าเราไม่เคยมีอาการใด ๆ มาก่อน เราอาจจะไปพบแพทย์ เพื่อขอเจาะเลือดตรวจ
 ซึ่งแพทย์จะตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วย
 ถ้าผู้ป่วยมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและมีภาวะตับอักเสบด้วย น่าจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
 แต่ถ้าจะให้แน่ใจแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเจาะเลือดอีก 6 เดือน
ถ้ายังพบเชื้อและยังมีภาวะตับอักเสบอยู่ ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคตับเรื้อรังจากไวรัสชนิดบี
แต่ถ้าเจาะเลือดแล้วมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่พบภาวะตับอักเสบก็น่าเป็นพาหะของโรคนี้
ถ้าอีก 6 เดือนต่อมา เจาะเลือดแล้วยังพบเชื้อเหมือนเดิม แต่ไม่พบภาวะตับอักเสบ
ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี

ผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่าน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะไปพบแพทย์
ซึ่งก็จะทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ จากการตรวจและเจาะเลือดของแพทย์
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีเรื้อรัง หรือพาหะของโรคนี้มีอันตรายอย่างไร

ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มนี้ มีโอกาสจะเกิดโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งของตับหรือทั้ง 2 อย่าง
ได้สูงกว่าคนที่ไม่เป็นโรคนี้ โรคตับแข็งและโรงมะเร็งของตับเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายในขณะนี้
 โรคตับแข็งจะเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
และภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้บ่อย ส่วนโรคเนื้องอกหรือมะเร็งของตับนั้นเมื่อเป็นแล้ว
 ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ การรักษาในขณะนี้ที่พอจะได้ผล
ก็ได้แก่การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก และการใช้ยาฉีดทำลายเซลล์มะเร็ง
โดยผ่านสายฉีด เข้าไปทางเส้นเลือดที่ไปสู่ก้อนเนื้องอกของตับโดยตรง
แต่ไม่ว่าเราจะรักษาด้วยวิธีใด ๆ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ก็มีอายุไม่ยืนยาว
ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ปี หรือน้อยกว่าถ้าไม่รักษาก็อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
เราจะมีวิธีป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร


ในปัจจุบัน วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้โดยการฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดการเลือกฉีดวัคซีน
จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ

1. ในเด็ก การฝากครรภ์จะทำให้ทราบว่ามารดามีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือไม่
 ถ้าเป็นโรคนี้ควรให้วัคซีนแก่ทารก ตั้งแต่แรกคลอดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด
 ซึ่งถ้าเด็กได้รับเชื้อตั้งแต่แรกเกิดแล้ว จะมีโอกาสเป็นตับแข็ง หรือเนื้องอกของตับตั้งแต่อายุยังน้อย
 ส่วนในเด็กที่คลอดจากมารดาที่ปกติ ในปัจจุบันก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กด้วยเช่นกัน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อเมื่อเด็กโตขึ้น

2. ในผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้น จะเสี่ยงต่อการติดโรคได้มากน้อยเพียงใด
 ถ้าเสี่ยงต่อการติดโรคนี้ ก็ควรได้รับการฉีดวัคซีน แต่ก่อนฉีดวัคซีนควรได้รับการเจาะเลือดตรวจก่อน
ว่ามีภูมิต้านทานโรคนี้หรือยัง เพราะว่ามีคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเจาะเลือดดูจะพบว่ามีภูมิต้านทานอยู่แล้ว
 หรืออาจมีเชื้ออยู่ในร่างกายแล้ว ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องฉีดในคนสูงอายุ อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน
ก่อนฉีดวัคซีนควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ เราจะปฏิบัติอย่างไร เมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี

ถ้าหากมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง
 ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบหรือเปล่า
และเป็นชนิดไหน ในกรณีที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรพักผ่อนให้มาก ควรงดรับประทานมัน
 เพราะจะทำให้แน่นอืดท้องและคลื่นไส้เพิ่มมากขึ้น ควรงดดื่มสุราอย่างเด็ดขาด
ในระหว่างที่เป็นโรคนี้อยู่และไม่ควรรับประทานยาที่มีอันตรายต่อตับ

กราบขอบพระคุณ ข้อมูลจาก..
อาจารย์ น.อ.ณัฎฐากร วิริยานุภาพ 
กองอายุรกรรม ร.พ.ภูมิพลอดุลยเดช พอ.บนอ. 

....
บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
คะแนนน้ำใจ 4171
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลบอร์ดนักโพสดีเด่น
กระทู้: 681
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 กันยายน 2556, 05:58:05 PM »

Permalink: Re: ไวรัสตับอีกเสบ บี



บันทึกการเข้า




ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,136
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 มีนาคม 2558, 02:14:39 PM »

Permalink: Re: ไวรัสตับอีกเสบ บี
 a11 a11
บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: