You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดสุขภาพสุขภาพ (ผู้ดูแล: ญิบสลิล ณ นคร, หมอกริชครับ...คมกริช... คมกริช)อีก 3 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะเลิกไขมันทรานส์แล้ว บอกแล้วไม่ฟัง
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: อีก 3 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะเลิกไขมันทรานส์แล้ว บอกแล้วไม่ฟัง  (อ่าน 1452 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,136
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2558, 08:09:06 AM »

Permalink: อีก 3 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะเลิกไขมันทรานส์แล้ว บอกแล้วไม่ฟัง






อีก 3 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะเลิกไขมันทรานส์แล้ว บอกแล้วไม่ฟัง คนไทยยังจะต้องตายเกลื่อนกันต่อไป !


อีก 3 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะเลิกไขมันทรานส์แล้ว บอกแล้วไม่ฟัง คนไทยยังจะต้องตายเกลื่อนกันต่อไป !?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000071968     
26 มิถุนายน 2558 12:55 น






รูปจาก CNN  http://edition.cnn.com/2015/06/16/health/fda-trans-fat/index.html
       ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา คนทั่วโลกต่างรับรู้ถึงอันตรายจาก ไขมันทรานส์ หรือ เนยเทียม มากขึ้น
โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียได้แพร่กระจาย ทำให้เกิดการส่งต่อข้อมูลและงานวิจัยอันสำคัญ
และได้ส่งผลอย่างสำคัญทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาจึงต้องยอมจำนนกำหนดนโยบายใหม่เพื่อแก้ไข
ในสิ่งที่ผิดพลาดก็ให้เกิดโรคมากมายในหลายทศวรรษที่ผ่านมา
       
       นิตยสารไทม์ ฉบับในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557
ได้ตีพิมพ์เรื่องความเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่านมมีแคลเซียมมากจะเสริมสร้างกระดูก ซึ่งจากการอ้างอิงงานวิจัย
ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ คิดติดตามผลอย่างยาวนานถึง 20 ปี ในผู้หญิงที่เสียชีวิต 15,541 คน
และการศึกษาต่อเนื่อง 10 ปี ในผู้ชายที่เสียชีวิตจำนวน 10,112 คน พบว่าการดื่มนมในปริมาณมากมีความเสี่ยง
กับอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะการเกิดโรคกระดูกแตกร้าวในผู้หญิง
       
       คนในหลายประเทศกำลังได้รับความรู้ใหม่ๆมากขึ้นผ่านข้อมูลของโลกโซเชียลมีเดียที่มีความห่วงใยกันและกัน
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานของผู้บริโภคไปจนถึงกระทบต่อนโยบายรัฐบาลอีกด้วย





ย้อนกลับไปนิตยสารไทม์เมื่อ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 http://time.com/2863227/ending-the-war-on-fat/
ได้เผยแพร่ยอมรับว่าไขมันอิ่มตัวไม่ได้เป็นปัญหาต่อโรคหลอดเลือดอีกต่อไป อีกทั้งยังชักชวนให้กินเนยและวิเคราะห์ถึงสาเหตุ
ที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ในทางวิทยาศาสตร์ในรอบกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากงานวิจัยจำนวนมากพบว่า
คอเลสเตอรอลนั้น ไม่ได้เป็นปัญหามีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดและหัวใจแต่ประการใด
อีกทั้งยังกล่าวถึงปัญหาที่แท้จริงว่าโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นเกิดจากไขมันทรานส์หรือเนยเทียม ที่มีการใช้กันมาในวงการอุตสาหกรรมอาหาร
       
       คอเลสเตอรอลที่เข้าใจว่าเป็นผู้ร้ายมากว่าครึ่งศตวรรษกลับมาเป็นพระเอก ไขมันทรานส์หรือเนยเทียม
ที่ทำมาจากไขมันพืชที่ไม่อิ่มตัวจากที่เข้าใจว่าเป็นพระเอกมานานกว่าครึ่งศตวรรษกลับกลายมาเป็นผู้ร้ายในวันนี้
       
       6- 7 เดือนผ่านไป 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ภายหลังจากการเผยแพร่ของนิตยสารไทม์
คณะกรรมการที่ปรึกษาที่ปรึกษากำหนดแนวทางการบริโภคของสหรัฐอเมริกา (The Dietary Guidelines Advisory committee)
 ได้ประชุมกันเพื่อทบทวนเรื่องเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล แล้วพบว่าระดับของคอเลสเตอรอลนั้นแท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีความสัมพันธ์
กับโรคหลอดเลือดหัวใจแต่ประการใด จนมีการกล่าวยอมรับในวงการแพทย์ระดับสูงของสหรัฐอเมริกาว่าเกิดความผิดพลาด
มาหลายทศวรรษที่ผ่านมา






  ความจริงข้อมูลเมืองไทยก็ได้พยายามบอกเล่าเรื่องที่กล่าวนี้มาหลายปีแล้วว่า
คอเลสเตอรอลมีประโยชน์ต่อร่างกาย และคนใกล้ตายจะมีระดับคอเลสเตอรอลลดต่ำลงตามสัญญาณชีพที่อ่อนแรงของมนุษย์
แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อการบอกกล่าวของคนไทยด้วยกัน (แม้จะอ้างอิงงานวิจัยจากต่างประเทศจำนวนมาก)
เพราะคนไทยส่วนใหญ่มักจะเชื่อและนับถือการประกาศจากฝรั่งมากกว่า
       
       แม้ต่อให้ในวันนี้จะเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการถึงความเข้าใจผิดจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาแล้วก็ตาม
แต่แพทย์ไทยจำนวนมากก็ยังจะเลือกจ่ายยาลดคอเลสเตอรอลให้กับคนไข้ต่อไป เพราะคนไข้ไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านภาษาอังกฤษ
และไม่ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เข้าใจผิดตลอดเวลาที่ผ่านมา
       
       และสำหรับแพทย์บางคนที่มีอัตตาสูง มันคงเป็นเรื่องยากที่จะให้ยอมรับว่าสิ่งที่เคยเรียนศึกษามา
หรือสิ่งที่เคยทำงานรักษาคนไข้มามันผิดทาง!!!





(รูปจาก FDA อเมริกา  http://www.fda.gov/forconsumers/consumerupdates/ucm372915.htm)
       แล้วในที่สุดก็มาถึงคิว “ไขมันทรานส์” หรือ “เนยเทียม”       
       คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าเรากำลังกินไขมันทรานส์อยู่ เพราะมันแฝงอยู่ในอาหารที่เราบริโภคไม่รู้ตัวอย่างมาก
 เช่น กลุ่มไขมันอิ่มตัวในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว ต่างมีความไม่อิ่มตัวอยู่
จึงหืนง่ายเมื่อโดนออกซิเจนและอนุมูลอิสระเข้าทำปฏิกิริยาได้ง่าย จึงต้องมีการนำไปผ่านความร้อนแล้วเติมไฮโดรเจนเลียนแบบ
ไขมันอิ่มตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องทำปฏิกิริยากับออกซิเจนแล้วทำให้ไม่หืนทนทานได้นาน แต่กลับทำให้โครงสร้างทางเคมี
เปลี่ยนไปโดยไฮโดรเจนสลับข้างกันในตำแหน่งที่ไม่อิ่มตัว บ้างก็กลายเป็นไขมันที่ไม่หืนแม้เวลาผ่านไปยาวนาน
บ้างก็กลายเป็นไขมันหนืดๆกึ่งเหลวงกึ่งแข็งคล้ายๆเนยหรือชีส บ้างก็เป็นของแข็งในรูปของเนยขาว
       
       ไขมันที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเลียนแบบไขมันอิ่มตัวเหล่านี้ แฝงอยู่ในอาหารเพื่อถนอมอาหารให้มีอายุยืนยาวขึ้น
จะได้ประหยัดต้นทุน ซึ่งอยู่ในอาหารที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เช่น ข้าวโพดคั่วสำหรับอบในตู้ไมโครเวฟ
การทอดมันฝรั่งทอดที่ใช้ไขมันไม่อิ่มตัวในร้านอาหาร โดนัท คุกกี้ เนยถั่ว มาร์การีน ครีมเทียม เค้ก ขนมกรุปกรอบ ซาลาเปา
ขนมปังบางชนิด แครกเกอร์ ขนมกรุบกรอบ เครื่องดื่มทรีอินวัน ฯลฯ ซึ่งสามารถหาได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เกต
ในห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยทั่วไป     
       แต่ไขมันกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วว่าคือตัวการทำให้เกิดการเกิดโรคหลอดเลือดอย่างมหาศาล
ในรอบกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา     
       แต่ดูเหมือนคนในสหรัฐอเมริกาที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากในยุคหลังนั้นจะเริ่มรู้ตัวมากขึ้นกับความจริงเหล่านี้
            เพราะย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2452 คนอเมริกันบริโภคเนยมากถึงกว่า 9 กิโลกรัมต่อปีต่อคน
และกินเนยเทียมในรูปของมาร์การีนอยู่ในระดับต่ำประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อปีต่อคน ปรากฏว่าในเวลานั้นคนอเมริกันมีอัตราการเสียชีวิต
ด้วยโรคหัวใจต่อประชากรหนึ่งแสนคนอยู่ในระดับไม่มากนักประมาณ 170 - 180 คน เท่านั้น
       
       แต่ต่อมาในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2503 - 2523 คนอเมริกันกลัวไขมันอิ่มตัวกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะคิดว่า
ไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลจากเนยเป็นปัญหาทำให้เกิดโรคหัวใจ จึงหันไปกินเนยเทียมหรือไขมันทรานส์กันมากขึ้น
เพราะเชื่อว่าเป็นไขมันจากพืช(ที่เลียนแบบเนย)ไม่มีคอเลสเตอรอลจึงน่าจะปลอดภัยกว่า โดยกินเนยแท้ลดลงเหลือเพียง
ไม่ถึง 2.26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (จากสมัยก่อน 9 กิโลกรัม) แต่กลับไปกินเนยเทียมในรูปมาร์การีนสูงเพิ่มขึ้น
เป็นประมาณ 5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (จากสมัยก่อน 0.5 กิโลกรัม) ผลปรากฏว่าช่วงเวลานั้นอัตราการเสียชีวิต
ด้วยโรคหัวใจของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 350 - 370 คนต่อประชากรแสนคน
       
       หลังจากนั้นเป็นต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา คนอเมริกันตื่นตัวความจริงเหล่านี้มากขึ้น
การบริโภคมาร์การีนเริ่มลดลงในจนปี พ.ศ. 2547 การบริโภคไขมันทรานส์ในรูปของมาร์การีนลดลงเหลือประมาณ
ไม่เกิน 2.27 กิโลกรัมต่อคนต่อปีส่งผลทำให้อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจก็ลดลงไปด้วย
ทำให้อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงเหลือประมาณ 220 คนต่อประชากรแสนคน
       
       แต่ไขมันทรานส์ ไม่ได้มีแค่มาร์การีนเท่านั้น ยังมีซ่อนอยู่ในรูปอาหารอีกหลายชนิดรวมไปถึงครีมเทียมด้วย!!!
       
       แต่การตื่นตัวของประชาชนผู้บริโภคชาวอเมริกัน เป็นผลทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องมีการประกาศให้ติดฉลาก
และควบคุมปริมาณไขมันทรานส์ในอาหาร เมืองหลายแห่งประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ในการทำอาหารในภัตตาคาร
ด้วยมาตรการเหล่านี้เองส่งผลทำให้คนอเมริกันลดการบริโภคไขมันทรานส์ทุกชนิด จากปี พ.ศ. 2546
ที่บริโภคไขมันทรานส์กันประมาณวันละ 0.46 กิโลกรัมต่อวัน มาจนถึงในปี พ.ศ. 2554 คนอเมริกันบริโภคไขมันทรานส์
กันประมาณวันละ 0.10 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น นั่นหมายถึงการบริโภคไขมันทรานส์นั้นลดลงไปกว่า 78%
       

       ด้วยการตื่นตัวของผู้บริโภคที่ไม่สามารถปิดกั้นข้อมูลข่าวสารได้ ในที่สุดองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะทำการยกเลิกห้ามใช้ไขมันทรานส์ทุกชนิดในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2561 หรือประมาณอีก 3 ปีข้างหน้า
       
       เพราะแม้แต่ฉลากในผลิตภัณฑ์อาหารของสหรัฐอเมริกาที่น้อยกว่า 0.5 กรัม (0.0005 กิโลกรัม)ให้ถือว่า
มีไขมันทรานส์เป็นศูนย์นั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็ยังระบุว่าแม้ในปริมาณน้อยเช่นนั้นก็ยังถือว่าไม่ปลอดภัย
       
       นั่นหมายถึงว่าแม้จะมีการประกาศว่าจะเลิกใช้ในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยง
การบริโภคไขมันทรานส์อยู่ดี การประกาศเรื่องสำคัญนี้ได้เผยแพร่ไปในสื่อที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น นิตยสารฟอร์บส์ นิตยสารไทม์ ฯลฯ
       
       นิตยสารไทม์ ได้รายงานว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
ได้กำหนดให้ไขมันทรานส์นั้นต้องติดอยู่ในฉลากที่แสดงโภชนาการที่คนทั่วไปสามารถเห็นได้
ทำการควบคุมปริมาณ และสุดท้ายก็ประกาศเตรียมยกเลิกในอีก 3 ปีข้างหน้า





(รูปจาก ที่นี่http://my.clevelandclinic.org/staff_directory/staff_display?doctorid=1185)
       นิตยสารไทม์ ได้สัมภาษณ์ ด็อกเตอร์ สตีเวน นิสเซน หัวหน้าคณะหลอดเลือดหัวใจของคลีนิค คลิฟแลนด์
ได้ให้ความเห็นสนับสนุนในแนวทางดังกล่าวขององค์การอาหารและยา และกล่าวว่า     
       มันดูเหมือนว่าไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวซึ่งเป็นไขมันที่อยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นเป็นที่ชื่นชอบ และไขมันอิ่มตัว
ซึ่งอยู่ในน้ำมันมะพร้าวนั้นก็เป็นธรรมชาติ แต่ไขมันทรานส์นั้นชัดเจนว่าเป็นอันตราย




(รูปจาก เมเนเจอร์ http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000071968)
อีก 3 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะเลิกไขมันทรานส์แล้ว  บอกแล้วไม่ฟัง คนไทยยังจะต้องตายเกลื่อนกันต่อไป !?
        ขนาดสหรัฐอเมริกาประกาศชัดเจนอย่างนี้แล้ว แต่รัฐบาลประเทศไทยก็ยังคงเฉยเมยกับเรื่องสำคัญเช่นนี้
ไม่มีนโยบายอะไรทั้งสิ้น นอกจากจะเน้นไปเรื่องการรักษาฟรีปลายเหตุแห่งโรคโดยไม่ใส่ใจต้นเหตุแห่งโรค
ที่มีไขมันทรานส์เกลื่อนกลาดอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหารไทย       
       ความไม่ชัดเจนของรัฐบาลไทยเช่นนี้ อุตสาหกรรมอาหารไทยที่ใช้ไขมันทรานส์ก็ยังคงร่ำรวยกันต่อไป
 ผู้บริโภคก็คงต้องซวย ป่วยและตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น งบประมาณเพื่อรักษาฟรีอีกเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ





บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: