
...สมภารวัดชื่อดังรูปหนึ่ง  ปรารถให้ผมฟังว่า  ศพที่ไปฌาปนกิจที่เมรุเผาศพที่วัดของท่านประมาณ ๕๐% เสียชีวิตจากมะเร็ง 
 ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วที่ท่านมาบวชใหม่ๆ  “สมัยก่อนศพมะเร็งมาเผาที่วัด  มีซัก ๑๐-๒๐% เท่านั้นเอง  
ตอนนี้เพิ่มขึ้น ๒-๓ เท่า  บางศพอายุยังน้อยอยู่เลย  แค่ ๒๐ ปีกว่าก็มี”
....หน่วยราชการแห่งหนึ่ง  ก่อตั้งมาได้ประมาณ ๑๐ ปีเศษ  มีพนักงานประมาณ ๓๐ คน  อายุอยู่ระหว่าง ๓๐– ๕๕ ปี 
ใน ๓ ปีแรก  ไม่มีใครเจ็บป่วยจากมะเร็ง
ใน ๓ ปีที่สอง  มีคนเป็นมะเร็ง ๑ คน  ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่
ใน ๓ ปีสุดท้าย  มีคนเป็นมะเร็ง ๓ คน  ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ๒ คน
ฝรั่งเรียกมะเร็งว่า Cancer หรือบางทีพวกหมอก็เรียกกันย่อๆว่า Big C
ศัพท์ละตินทางการแพทย์เรียกว่า Malignancy  คนในแต่ละทวีป ภูมิภาค ประเทศ 
จะมีอุบัติการณ์ของการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป  เพราะความแตกต่างทางกรรมพันธุ์ 
 สภาวะแวดล้อม อาชีพ อาหาร หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
คนในทวีปออสเตรเลีย  จะเป็นมะเร็งผิวหนังมาก  เชื่อว่าเกี่ยวกับชั้นโอโซนในอากาศเบาบาง
คนในเมืองจีน  จะเป็นมะเร็งโพรงจมูกกันแยะ  เชื่อว่าเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ และมลภาวะ
คนไทยจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งตับสูง  เชื่อว่าเกี่ยวกับพยาธิใบไม้ในตับ และอาหารบางชนิด
...ประเทศไทยในปี ๒๐๑๕ นี้   มีคนตายจากมะเร็งประมาณ ๖.๕ หมื่นคน  จากผู้เสียชีวิตทั้งประเทศ ๕ แสนคน  
หรือคิดเป็น ๑๔-๑๕%  เป็นผู้ชาย ๖๐%  ผู้หญิง ๔๐% ซึ่งเท่ากับว่า 
 ผู้ชายมีความเสี่ยงต่อมะเร็งมากกว่าผู้หญิงประมาณ ๑.๕ เท่า
...ตัวเลขเหล่านี้ ใกล้เคียงกับผลสำรวจในประเทศจีน  ซึ่งในปี ๒๐๑๓ พบว่ามีอัตราการวินิจฉัยการป่วยด้วยมะเร็งถึง ๓,๑๕๓,๖๐๐ คน/ปี 
หรือนาทีละ ๖ คน  และพบมะเร็งปอดมากที่สุดเพราะคนจีนสูบบุหรี่จัด  
ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือทั้งคนไทยและคนจีนพบมะเร็งในลำไส้เพิ่มขึ้นอย่างมาก  โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง
“ฉันจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่” จะเป็นคำถามที่อยู่ในใจผู้ป่วยและญาติตลอดเวลา เมื่อรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง  
ประสบการณ์และวุฒิภาวะของแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขในการสื่อสารและดูแลผู้ป่วยเหล่านี้มีความสำคัญมาก 
 หมอต้องมีทักษะหลายๆอย่างในการที่จะพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติตั้งแต่แรกวินิจฉัย  
จะพูดอย่างไรไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะขวัญหายกระเจิดกระเจิงตอนกลับไปบ้าน  บางครั้งอาจต้องบอกญาติก่อน  
บางครั้งอาจต้องบอกแค่ครึ่งเดียว (เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติค่อยๆทำใจ)  บางครั้งอาจต้องให้ความจริงเชิงสถิติ 
 และที่สำคัญคือ  อย่าทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง...
...เริ่มมีการถกเถียงกันว่า  คำพูดที่หมอชอบพูดอยู่เสมอๆว่า “อยู่ได้ไม่เกินแค่นั้น  แค่นี้เดือน (ปี)”  เป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ 
 เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีพยาธิสภาพของโรคไม่เหมือนกัน  มีการตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน 
 และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองที่แตกต่างกันไป
...ผู้ป่วยจะอยู่ได้กี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจของผู้ป่วยนั้นมีความสำคัญมาก 
 ครอบครัวบางครอบครัวหมดเนื้อหมดตัวหรือเป็นหนี้สิน  เพราะแพทย์ชี้นำไม่ถูกต้อง 
 คนป่วยบางคนตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในโรงพยาบาล  เต็มไปด้วยสายระโยงระยางและท่อต่างๆในวาระสุดท้าย
 และครอบครัวไม่มีโอกาสอยู่เคียงข้าง
...ในอเมริกา และยุโรปเริ่มมีการพัฒนาศาสตร์ที่เรียกว่า Phychological oncology 
ว่าด้วยการดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยมะเร็ง  มีคำพูดที่ว่า “ในการเกิดผลข้างเคียงด้านร่างกายจากการรักษามะเร็ง
 จะมีผลข้างเคียงด้านจิตใจควบคู่อยู่ด้วยเสมอ”  ศาสตร์ด้านนี้ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือด้านสังคม
 การปฏิบัติสมาธิภาวนา และการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆสำหรับผู้ป่วย
...การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) เป็นอีกส่วนที่มีความจำเป็นและสำคัญสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย
  อันได้แก่  การบำบัดความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน  การให้ยาระงับประสาทเพื่อให้นอนหลับได้ การบริหารจิต
 การให้คำแนะนำแก่ญาติ  เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยเริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องนี้มากขึ้นในช่วง ๔-๕ ปีที่ผ่านมา
โรงพยาบาลอาจดูแลผู้ป่วยได้ดีในบางภาวะเงื่อนไข  แต่การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Care) และชุมชน 
 อาจจะสำคัญพอๆกัน (หรือมากกว่า)  ไม่มีผู้ป่วยคนไหนอยากอยู่โรงพยาบาลนานๆ  ทุกวันนี้โรงพยาบาลบางแห่ง
  เริ่มพัฒนาความร่วมมือกับท้องถิ่น (เทศบาลและอบต.) ในการจัดให้มีบุคลากรเยี่ยมบ้าน  
บางแห่งมีชุดถังออกซิเจนขนาดเล็ก  ชุด Infusion set สำหรับให้ยามอร์ฟีนแก้ปวดแก่ผู้ป่วย  
หรือแม้กระทั่งเตียงนอนผู้ป่วยติดเตียงให้ครอบครัวที่มีผู้ป่วยมะเร็งไปใช้ได้
...การรักษาด้วยรูปแบบทางเลือกอื่นๆ  เช่น ยาแผนโบราณ แผนจีน การนวด การเพ่งกระแสจิต  
บางครั้งถูกมองว่าเป็นตัวสร้างปัญหา  ถูกมองว่าเป็นด้านลบจากบุคลากรสาธารณสุขแผนปัจจุบัน  
จริงๆแล้วศาสตร์เหล่านี้ในด้านที่เป็นคุณก็มี  แพทย์แผนปัจจุบันต้องใจกว้าง และใส่ใจหาความรู้เพิ่มเติมในศาสตร์เหล่านี้ 
 บางครั้งอาจต้องบอกข้อดี ข้อเสียให้ฟัง แล้วให้ญาติและคนไข้ตัดสินใจเอง... 
ยาแผนโบราณบางตัวให้ผลที่เหลือเชื่อในผู้ป่วยมะเร็งบางราย...
ท้ายที่สุดนี้  คำวินิจฉัยว่า 
“คุณเป็นมะเร็ง” ไม่ได้เป็นคำพิพากษาว่า “คุณต้องตายแน่ๆในเร็ววันนี้” 
แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า “คุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิถีชีวิตใหม่”  ได้แล้ว
  มะเร็งเป็นโรคที่หายได้ถ้าคุณ “กล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง....”
ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 452-01
นิตยสารหมอชาวบ้าน  เล่มที่: 452
เดือน/ปี: ธันวาคม 2559
คอลัมน์: สปสช. สำนักงานหลักประกันสุขภาพ
นักเขียนรับเชิญ: นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ