ย้ำคิดย้ำทำ โรคชวนปวดหัว

ย้ำคิดย้ำทำ โรคชวนปวดหัว
อาการย้ำคิดย้ำทำสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เนื่องมาจากความกังวลใจในบางเรื่องราว
แต่หากอาการนี้เริ่มส่งผลกับชีวิตประจำวัน เกิดการย้ำคิดย้ำทำในสิ่งที่ไม่ต้องการทำบ่อยครั้ง
และเป็นเวลานานจนเกิดความเครียด นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รีบเข้ารับการรักษา เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

โรคย้ำคิดย้ำทำเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง ที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองที่นำไปสู่
ความกลัวในเรื่องต่างๆ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการที่ค่อนข้างชัดเจนคือ มีการย้ำคิดย้ำทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน
จนเกิดความเครียดอย่างหนัก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างผิดวิธี

การรักษาโรคนี้มักใช้พฤติกรรมบำบัดควบคู่กับการทานยาจึงจะหายขาด ไม่เพียงเท่านั้น ความร่วมมือจากผู้ป่วยและคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หากสงสัยว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ควรเข้าพบจิตแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ให้แน่ชัด โดยการซักประวัติและทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา

รู้จักโรคย้ำคิดย้ำทำ
โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive - Compulsive Disorder) เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วย อาการย้ำคิด
มีความคิดเข้ามาในสมองโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เกิดความกลัวหรือกังวล อาการย้ำทำ เป็นการกระทำเพื่อลดความกลัวหรือความกังวลจากการย้ำคิด
บางคนมีอาการย้ำคิดหรือย้ำทำ บางคนมีทั้งย้ำคิดกับย้ำทำ บางคนทำอะไรนานมาก ซึ่งบางครั้งไม่สามารถแยกออกว่า
แบบไหนเป็นอาการของโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือเป็นแค่ความวิตกกังวลธรรมดาจึงจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจ
แต่คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ส่วนมากมักอายและละเลยไม่ไปรับการรักษาจึงส่งผลให้อาการรุนแรงมากขึ้น

สาเหตุแท้จริง
โรคย้ำคิดย้ำทำนั้นมีสาเหตุจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดความรู้สึกกลัว ที่พบ
บ่อยที่สุด คือ กลัวความโชคร้าย เช่น กลัวขโมยขึ้นบ้านต้องปิดประตูหน้าต่างซ้ำหลายรอบ กลัวทิ้งของมีค่า
ต้องรื้อถังขยะมาดูทีละชิ้นหลายครั้งเพื่อความแน่ใจ ฯลฯ กลัวความสกปรก เช่น กลัวล้างสบู่ออกไม่หมด
อาบน้ำบ่อยและใช้เวลานาน กลัวเสื้อผ้าสกปรกต้องซักหลายๆ รอบ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีความกลัวอีกมากมาย
ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่เพียงเท่านั้น กรรมพันธุ์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน

อาการเด่นเห็นได้ชัด
อาการของโรคย้ำคิดย้ำทำที่แสดงให้เห็นเด่นชัดคือ จะย้ำคิดย้ำทำกับสิ่งที่ไม่ต้องการคิดหรือต้องการ
กระทำโดยไม่มีเหตุผล ไม่สามารถหยุดได้ และจดจ่อกับอาการนั้นเป็นเวลานาน จนรบกวนชีวิตประจำวัน
ทำให้รู้สึกเครียดและทุกข์อย่างหนัก เช่น คิดอยู่ตลอดว่าตนเองลืมล๊อคประตูบ้าน ต้องกลับมาตรวจสอบประตูบ้านวันละหลายครั้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังคอยหลีกเลี่ยงสิ่งที่มากระตุ้นอาการย้ำคิดย้ำทำตลอดเวลา จนนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างผิดวิธี อาทิ ทำร้ายตัวเอง
ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ทานยานอนหลับ พยายามฆ่าตัวตาย เป็นต้น

ย้ำคิดย้ำทำหรือไม่
อาการของโรคย้ำคิดย้ำทำมีความคล้ายคลึงกับโรคจิตเภทอื่นๆ เช่น โรคอารมณ์แปรปรวน โรค
ไฮเปอร์แอคทีฟ โรคซึมเศร้า เป็นต้น แต่ต่างกันในส่วนของลักษณะอาการเพียงเล็กน้อย บางครั้งจึงอาจเกิดความเข้าใจผิด
นอกจากสังเกตอาการเบื้องต้นด้วยตนเองแล้ว ควรเปิดใจเข้าพบจิตแพทย์ เพื่อเข้าสู่กระบวนการทดสอบอย่างถูกต้อง
โดยจะมีการซักถามอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติส่วนตัว ลักษณะนิสัย ไปจนถึงแนวคิด หลังจากนั้นอาจต้องทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาเพิ่มเติม
เพื่อยืนยันผลการตรวจให้ทราบแน่ชัด

รักษากายรักษาใจ
การรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
1. พฤติกรรมบำบัด อาศัยหลักการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัวเพื่อให้เกิดความเคยชินจนหายไปเอง
หากเอาแต่หลีกหนีก็จะกลัวและหนีไปเรื่อยๆ วิธีนี้ต้องปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากสิ่งที่กลัวน้อยไปยังสิ่งที่กลัวมาก
ต้องให้เวลาไม่เร่งรัดจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด ที่สำคัญคือห้ามย้ำทำขณะฝึก เพราะผู้ป่วยมักจะถามคนใกล้ชิดตลอดเวลา
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กังวลว่าจะเกิดขึ้น คนใกล้ชิดไม่ควรตอบหรือตอบเลี่ยงว่าไม่รู้ เพื่อให้ผู้ป่วยอดทนกับความกังวลจนเป็นเรื่องปกติ
การรักษาวิธีนี้ถ้าผู้ป่วยให้ความร่วมมือจะหายขาดจากโรคนี้ได้อย่างถาวร

2. การใช้ยา ในกลุ่มยาแก้โรคซึมเศร้าชนิดที่ออกฤทธิ์กับซีโรโทนิน (Serotonin) สารสื่อนำประสาทใน
สมองที่สำคัญที่สุด เพราะทำให้อารมณ์ดี ไม่เครียด ช่วยให้สมองทำงานได้แม่นยำ วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่อยากเข้ารับการบำบัด
แต่ถ้าใช้ยาเพียงอย่างเดียวต้องใช้ในปริมาณมากและใช้เวลานาน จึงควรรักษาด้วยยาในช่วงเริ่มต้น
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วใช้การฝึกบำบัดร่วมด้วยจะดีที่สุด

ฝึกใจเพื่อป้องกัน
แม้โรคย้ำคิดย้ำทำจะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่การรู้จักควบคุมความคิดความเชื่อให้อยู่ในขอบเขตที่
เหมาะสมย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือปัญหาที่รุมเร้า จนเกิดอาการกระวนกระวายใจและพฤติกรรมซ้ำซาก
ควรจัดการกับความเครียดอย่างถูกต้อง อาทิ ปรึกษาและพูดคุยกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ปฏิบัติธรรมในวันพักผ่อน
ท่องเที่ยวในสถานที่ผ่อนคลาย ทำกิจกรรมอาสาช่วยเหลือสังคม อ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง เป็นต้น

KBeautifullife