-/> ทุเรียนกับความเชื่อที่อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิด

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดความบันเทิงเรื่องเล่าดีดี (ผู้ดูแล: หนุ่มภูธร ณ ลุ่มน้ำป่าสัก)ทุเรียนกับความเชื่อที่อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิด
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ทุเรียนกับความเชื่อที่อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิด  (อ่าน 1126 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,133
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 14 มิถุนายน 2563, 12:13:46 PM »

Permalink: ทุเรียนกับความเชื่อที่อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิด



ทุเรียนกับความเชื่อที่อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิด
ทุเรียน ราชาผลไม้ไทยที่หลายคนโปรดปรานในรสชาติหวานมัน แต่เมื่อรับประทานมาก ๆ
ก็ต้องรู้สึกผิดและตะขิดตะขวงใจเพราะมีน้ำตาลและแคลอรี่สูง เกิดคำถามในใจว่าควรจะรับประทานอย่างไรจึงจะพอดี
ไม่อ้วน และปลอดภัยต่อสุขภาพ แล้วประโยชน์ของทุเรียนต่อสุขภาพหรือการรักษาโรคที่กล่าวอ้างกันนั้นเชื่อได้จริงหรือ

ทุเรียน
เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ ภายในเนื้อทุเรียนอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลากหลายชนิด โดยทุเรียน 1 ลูกเล็ก ๆ
 มีเนื้อทุเรียนน้ำหนักประมาณ 600 กรัม จะให้คุณค่าทางโภชนาการเป็นพลังงาน 885 แคลอรี่ คาร์โบไฮเดรตถึง 163.1 กรัม
 มากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ไขมัน 32.1 กรัม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated)
เป็นไขมันดีที่จะช่วยลดไขมันชนิดไม่ดี มีเส้นใยอาหารโพแทสเซียม และวิตามินซีสูง รวมถึงสารอาหารสำคัญชนิดอื่น ๆ
เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินเอ และแคลเซียม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทุเรียนจะเป็นแหล่งคุณค่าทางสารอาหารที่ดี ทว่าแคลอรี่และคาร์โบไฮเดรตที่มีในปริมาณสูงนั้น
ก็อาจส่งผลให้น้ำหนักและรอบเอวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน โดยทุเรียนลูกใหญ่ที่มีเนื้อทุเรียนประมาณ 1 กิโลกรัม
 อาจจะให้พลังงานมากถึง 1,350 แคลอรี่ หากรับประทานทั้งหมดสามารถคิดเป็นพลังงานร้อยละ 68
สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปที่ควรได้รับพลังงาน 2,000 แคลอรี่ต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงมาก ทางที่ดีผู้ที่มีสุขภาพดีโดยทั่วไป
ควรรับประทานประมาณที่ 2-3 เม็ดต่อครั้งก็เพียงพอ และควรรับประทานให้น้อยลงกว่านี้สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ความเชื่อเกี่ยวกับการรับประทานทุเรียนที่อาจไม่เป็นความจริง
ทุเรียนมีคอเลสเตอรอลสูง หลายคนเข้าใจสับสนว่าทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง
 แต่รู้หรือไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วทุเรียนมีคอเลสเตอรอลเป็นศูนย์ หรือไม่มีคอเลสเตอรอลเลยนั่นเอง
 โดยคอเลสเตอรอลนั้นจะพบได้เฉพาะในอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น เนื้อสัตว์ ไขมันจากสัตว์
เครื่องใน อาหารทะเล และอาหารที่ทำจากนมทั้งหลาย แต่ไขมันที่พบในทุเรียนคือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
 ซึ่งอาจช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและปรับสมดุลระดับความดันโลหิต

ควรรับประทานทุเรียนคู่กับมังคุดช่วยลดความร้อน ตามหลักการแพทย์แผนโบราณของจีนกล่าวว่า
มังคุดเป็นผลไม้เย็นที่จะช่วยดับความร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อรับประทานทุเรียนได้ ทว่าเรื่องนี้ก็ยังคงเป็น
เพียงความเชื่อที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่าเท็จจริงประการใด ซึ่งความนิยม
ในการรับประทานมังคุดคู่ทุเรียนนี้อาจเป็นเพราะว่ามีช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่ตรงกันด้วย
ทำให้มักได้รับประทานไปพร้อม ๆ กัน เกิดเป็นความเชื่อดังกล่าว

ห้ามรับประทานยาลดไข้พร้อมกับทุเรียน เชื่อกันว่าทุเรียนจะเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น
และห้ามรับประทานพร้อมยาพาราเซตามอล เพราะเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาที่เป็นพิษต่อร่างกาย
 อย่างไรก็ดี งานวิจัยที่ทดสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้กับหนูทดลอง พบว่าทุเรียนไม่ได้ส่งผลให้อุณหภูมิ
ในร่างกายของหนูเพิ่มขึ้นอย่างน่าจะมีความสัมพันธ์ และตรงกันข้ามกับความเชื่อนี้
หนูที่ได้รับทุเรียนผสมกับพาราเซตามอลกลับมีอุณหภูมิร่างกายที่ลดต่ำลง
 ส่วนกลไกเกี่ยวกับการเกิดผลพิษของยานั้นไม่สามารถระบุได้ อย่างไรก็ตาม
 เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ปฏิกิริยาของทุเรียนกับยาพาราเซตามอลในคนโดยตรง
ความเชื่อนี้จึงนับว่ายังมีความคลุมเครืออยู่

ทุเรียนกับเบียร์อาจทำให้เสียชีวิตได้ มีข้อห้ามการรับประทานทุเรียนพร้อมกับดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
 เพราะเชื่อว่าอาจมีปฏิกิริยาที่ส่งผลร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้ ซึ่งจากการศึกษาเพื่อหาคำตอบของความเชื่อนี้
ก็พบว่าการรับประทานทั้ง 2 อย่างพร้อมกันอาจส่งผลบางอย่างต่อร่างกายจริง แต่อาจจะไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
โดยทุเรียนนั้นจะไปส่งผลให้เอนไซม์ Aldehyde Dehydrogenase ลดลง และเนื่องจากเอนไซม์ดังกล่าว
มีหน้าที่เปลี่ยนสารแอลดีไฮด์ (Aldehyde) สารพิษที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญแอลกอฮอล์
ไปเป็นพลังงานให้กลายเป็นสารอื่นแล้วกำจัดออกจากร่างกายไป เมื่อกำจัดได้น้อยลงจึงทำให้
สารแอลดีไฮด์สะสมภายในร่างกาย เกิดอาการหน้าแดง ชา วิงเวียน และอาเจียนตามมาในที่สุด

นอกจากนี้ การรับประทานทุเรียนพร้อมกับแอลกอฮอล์ยังอาจส่งผลให้มีอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด และรู้สึกอึดอัด
ไม่ค่อยสบายเช่นกัน เนื่องจากตับต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเพื่อที่จะเผาผลาญไขมันและน้ำตาล
ที่ได้จากทุเรียนและแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานทั้ง 2 อย่างในปริมาณที่มากเกินพอดี

ทุเรียนช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้ความรู้สึกร้อนเมื่อรับประทาน
และอาจส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายว่าจะทำให้มีคุณสมบัติกระตุ้น
ความต้องการทางเพศอย่างที่เชื่อกัน โดยไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงความความเป็นไปได้ที่ทุเรียนจะมีคุณสมบัตินี้ในปัจจุบัน

ประโยชน์ของทุเรียนที่อาจมีต่อสุขภาพ

เช่นเดียวกับผลไม้อื่น ๆ ที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารต่าง ๆ  ทำให้มีการกล่าวถึงคุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพ
ของทุเรียนปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ระบุประสิทธิภาพที่แท้จริงไม่ได้มากนัก เพราะงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
เกี่ยวกับทุเรียนที่มียังน้อยอยู่มาก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่พบได้ทั่วไปแต่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้
 และเป็นผลไม้เศรษฐกิจเพียงในบางประเทศ เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย

ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด มีการกล่าวอ้างว่าผลไม้น้ำตาลสูงชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยต้านเบาหวานและลดภาวะอ้วน
เกิดความสับสนว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ โดยความเชื่อนี้อาจมาจากการที่มีการวิจัยบางส่วนกล่าวถึง
ประโยชน์ของทุเรียนในด้านนี้ แต่การศึกษาที่มีก็เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

งานวิจัยหนึ่งให้หญิงผู้ป่วยโรคเบาหวาน 10 คน รับประทานผลไม้ต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 25 กรัม
 พบว่าเมื่อเทียบกับผลไม้น้ำตาลสูงชนิดอื่น ๆ อย่างมะม่วง สับปะรด เงาะ และกล้วย การตอบสนองต่ออินซูลิน
ของผู้ป่วยหลังจากรับประทานทุเรียนนั้นมีระดับที่เพิ่มขึ้นทางสถิติมากกว่ากลุ่มที่รับประทานผลไม้อื่น ๆ
ส่วนมะม่วงนั้นพบว่าช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น
แต่การศึกษานี้ก็มีขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และยังใช้คนร่วมทดลองเพียงจำนวนน้อย

ส่วนงานวิจัยอื่น ๆ ที่มี เป็นเพียงการทดลองในสัตว์ ซึ่งยากจะนำมาสรุปว่าจะให้ผลเช่นเดียวกับในคนหรือไม่
ดังการศึกษาเมื่อปี 2007 ที่ชี้ว่าการให้หนูกินทุเรียนและอาหารเสริมคอเลสเตอรอล (1 เปอร์เซ็นต์)
ให้ผลลัพธ์ในทางที่ดีต่อระดับไขมันในเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด และการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
 ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดภาวะไขมันในเลือดสูงหากมีการศึกษาที่ครอบคลุมกว่านี้

ทั้งนี้ ถึงแม้ในอนาคตจะมีงานวิจัยที่ยืนยันถึงประโยชน์ของทุเรียนในข้อนี้ได้อย่างชัดเจนขึ้น
ซึ่งขณะนี้ยังไม่มี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุเรียนจะดีต่อสุขภาพและสามารถรับประทานได้มากเท่าที่ต้องการ
 เพราะด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าในทุเรียนมีน้ำตาลและแคลอรี่สูง ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรจำกัดรับประทาน
ให้น้อยกว่าปริมาณปกติของคนที่มีสุขภาพดี ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายและส่งผลให้อาการโรคเบาหวานยิ่งแย่ลง

รักษาภาวะมีบุตรยาก ปัญหาสุขภาพที่น่าหนักใจอาจนำไปสู่ปัญหาทางความสัมพันธ์และชีวิตคู่
 ผู้ที่ประสบปัญหานี้หลายคนพยายามสรรหาการรักษาทางเลือกอย่างการรับประทานอาหารต่าง ๆ
ที่เชื่อว่าจะช่วยแก้ไขได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการรับประทานทุเรียน และบางความเชื่อก็ระบุเจาะจงว่า
ทุเรียนจะช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากที่เกิดจากรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome)
 ทว่าเมื่อมีการทบทวนงานวิจัยก็พบว่าในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุเรียน
รักษาภาวะมีบุตรยาก ไม่ว่าจะเป็นการมีบุตรยากที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยใดก็ตาม
ผู้ที่คาดหวังประโยชน์ด้านนี้ของทุเรียนจึงควรเผื่อใจด้วยว่าอาจไม่ได้ผลจริง

รักษาสิว มีทั้งการกล่าวอ้างว่าครีมที่มีส่วนผสมจากทุเรียนหรือการรับประทานทุเรียนจะช่วยรักษาสิวให้หายได้
 แต่สรรพคุณดังกล่าวก็ยังคงเป็นเพียงความเชื่อที่ไม่มีการพิสูจน์ คุณสมบัติของทุเรียนที่อาจดีต่อผิวหนังนั้น
 มีการศึกษาที่ใกล้เคียงโดยใช้เจลพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีส่วนผสมจากเปลือกทุเรียนทาบนผิวหนัง
 พบว่าช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บประจุของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งก็หมายความว่าจะทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นสูง
 หลังจากการใช้ติดต่อนาน 56 วัน โดยจากการทดสอบผิวหนังไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตาม
ทุเรียนจะมีสารหรือกลไกชนิดใดที่ดีต่อสุขภาพผิวหนังคงต้องใช้ข้อมูลในการระบุประสิทธิภาพอีกมาก

ดีซ่านหรืออาการตัวเหลืองตาเหลือง สรรพคุณทางยาของใบทุเรียนมีการบอกต่อกันอย่างแพร่หลายว่า
จะช่วยรักษาอาการภาวะตาเหลืองตัวเหลืองหรือดีซ่านได้ แต่ก็ไม่มีข้อมูลที่อธิบายได้ว่าเกิดจากอะไร
ได้ผลและปลอดภัยจริงหรือไม่ คุณประโยชน์นี้นับว่ายังมีความคลุมเครืออยู่มาก
ไม่ต่างจากประโยชน์ด้านสุขภาพข้ออื่น ๆ ของทุเรียน ที่หากต้องการทดลองทำตามสูตรการรักษาต่าง ๆ
ควรพึงระมัดระวังเพราะไม่สามารถยืนยันได้ถึงความปลอดภัย

รับประทานทุเรียนอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
คนส่วนใหญ่ อาจสามารถรับประทานทุเรียนได้อย่างปกติ แต่อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง
 มีแก๊สในกระเพาะ ท้องเสีย อาเจียน หรืออาการแพ้ตามมาได้ในบางราย โดยเฉพาะเมื่อรับประทานในปริมาณมาก
ทั้งนี้ยังไม่ควรรับประทานเม็ดของทุเรียน เพราะอาจส่งผลให้มีอาการหายใจเหนื่อยหอบได้

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องจำกัดการรับประทานแป้งและน้ำตาลนั้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะรับประทานทุเรียนในปริมาณมาก ๆ
 ตามใจปาก เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลที่มีสูงมากกว่าผลไม้อื่น ๆ เช่น มะม่วง หรือกล้วยที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลมากอยู่แล้ว
 โดยอาจไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นมากและเป็นอันตรายได้

นอกจากนี้ หลายคนเชื่อว่าขณะตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทุเรียนเพราะทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย
 ไม่ดีต่อมารดาและเด็กในท้อง บางความเชื่อกล่าวว่าทุเรียนจะส่งผลให้คุณแม่มีความดันโลหิตสูงจนกระทบต่อทารกในครรภ์
แต่ที่จริงแล้วก็ยังไม่มีการยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์กับการรับประทานทุเรียน
และผู้เชี่ยวชาญทางแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่ได้ห้ามคนท้องรับประทานทุเรียน

ในทางตรงกันข้ามกลับมีงานวิจัยที่ชี้ว่าทุเรียนอาจเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่ที่ตั้งครรภ์
เนื่องจากประกอบด้วยทริปโตเฟน (Tryptophan) และสารประกอบซัลเฟอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
 อีกทั้งยังอาจมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ทำให้อาจส่งผลดีต่อครรภ์ของมารดา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง โดยในทุเรียน 1 เม็ด (น้ำหนัก 40 กรัม)
จะให้พลังงานประมาณ 50-60 แคลอรี่ ทางที่ดีควรรับประทานอย่างยับยั้งชั่งใจ ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป
 โดยเฉพาะหญิงที่เป็นโรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์อยู่แล้ว และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทุเรียนเพื่อรักษาโรคใด ๆ
ซึ่งอาจทำให้ได้รับทุเรียนในปริมาณมาก ทั้งในปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะปลอดภัย


ขอบคุณที่มา   
บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: