-/> ๑ กรกฎาคม วันลูกเสือไทย....

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ๑ กรกฎาคม วันลูกเสือไทย....  (อ่าน 1260 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 1676
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลบอร์ดมีความคิดสร้างสรรค์นักโพสดีเด่น
กระทู้: 120
ออฟไลน์ ออฟไลน์
หนุ่มภูธร...ผู้ผิดหวังจากการเป็นครู
อีเมล์
   
« เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2562, 09:20:26 PM »

Permalink: ๑ กรกฎาคม วันลูกเสือไทย....
....เนื่องในโอกาสวันที่ ๑ กรกฎาคม ของทุกปี
เป็นวันสำคัญของหมู่ลูกเสือในประเทศไทย ในวันนี้จึงใคร่ขอนำประวัติลูกเสือไทยมาให้ทุกๆท่านได้อ่านกันครับผม....

....คณะลูกเสือแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
(อังกฤษ: National Scout Organization of Thailand; NSOT) เป็นองค์การที่ดูแลเกี่ยวกับการลูกเสือในประเทศไทย
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ และได้เข้าร่วมสมัชชาลูกเสือโลกเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕ ในปี พ.ศ.๒๕๕๓
คณะลูกเสือแห่งชาติ มีสมาชิกกว่า ๑,๓๖๐,๘๖๙ คน

....พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ
 ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงทราบเรื่องการสู้รบเพื่อรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking)
 ของลอร์ด เบเดน โพเอลล์ (Lord Baden Powell) ซึ่งตั้งกองทหารเด็กเป็นหน่วยสอดแนมช่วยรบ
ในการรบกับพวกบัวร์ (Boar) จนประสบผลสำเร็จ และตั้งกองลูกเสือแห่งแรกที่ประเทศอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐ เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยก็ได้ทรงจัดตั้งกองเสือป่า (Wild Tiger Corps)
ขึ้นเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔ มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร
นับเป็นประเทศที่ ๓ ของโลก ต่อจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ที่มีการสถาปนากองลูกเสือขึ้น
ต่อจากนั้นอีก ๒ เดือน ก็ได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๔
 ด้วยมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่า เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว
 เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่
และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
....จากนั้น ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรก ขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน)
 และจัดตั้งกองลูกเสือ ตามโรงเรียนต่างๆ รวมถึงกำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น
ทั้งพระราชทานคำขวัญแก่ลูกเสือว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” โดยผู้ที่นับว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก
คือ นายชัพน์ บุนนาค ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”

....ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ ได้จัดส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทย จำนวน ๔ คน ไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก
ครั้งที่ ๑(1st World Scout Jamboree) ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกของโลก ณ อาคารโอลิมเปีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

....พ.ศ.๒๔๖๕ คณะลูกเสือไทย ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมัชชาลูกเสือโลก
ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น ๓๑ ประเทศ ประเทศทั้ง ๓๑ ประเทศนี้ นับเป็นสมาชิกรุ่นแรก
หรือสมาชิกผู้ก่อการจัดตั้ง (Foundation Members) สมัชชาลูกเสือโลกขึ้นมา

....พ.ศ.๒๔๖๗ ได้จัดส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทย ๑๐ คน ไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ ๒ ณ ประเทศเดนมาร์ก

....หลังจากนั้นกิจการลูกเสือก็ได้ซบเซาลง จนในปี พ.ศ.๒๕๐๖ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
 ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภิกา พร้อมกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงรับไว้
ในพระอนุเคราะห์ (โดยไม่ออกพระนาม) ทำให้กิจการลูกเสือไทยกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง
แม้ทั้งสองพระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ดอกผลแห่งพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก็ยังใช้จุนเจือ
กิจการคณะลูกเสือแห่งชาติต่อมา และยังคงได้รับการสืบสานให้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับนับจนปัจจุบัน
 โดยในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นประมุขคณะลูกเสือแห่งชาติในฐานะ
พระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.๒๕๕๑
และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง,
 สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
 และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงเป็นองค์อุปถัมภิกาคณะลูกเสือแห่งชาติ

....ในปัจจุบันนั้น ประเทศไทยมีลูกเสือ ๕ ประเภท คือ
- ลูกเสือสำรอง
- ลูกเสือสามัญ
- ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
- ลูกเสือวิสามัญ
- ลูกเสือชาวบ้าน
....และยังมีการแบ่งลูกเสือออกเป็นเหล่าต่างๆ คือ เหล่าเสนา เหล่าสมุทร และ เหล่าอากาศ....

....ในส่วนของเนตรนารีนั้น...พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชคำนึงว่า สตรี และเด็กหญิง
ก็อาจเป็นกำลังของชาติได้ จึงได้ทรงตั้งกลุ่มสตรีขึ้นเรียกว่า "สมาชิกแม่เสือ" โดยรับสมัครสตรีที่ส่วนมาก
เป็นภรรยาและบุตรของเสือป่า สมาชิกแม่เสือมีหน้าที่จัดหาเสบียง และเวชภัณฑ์ส่งให้กองเสือป่า
และต้องช่วยชำระค่าบำรุงสโมสรด้วย ผู้ใหญ่เสียค่าบำรุงปีละ ๒ บาท เด็กเสียปีละ ๕๐ สตางค์
สมาชิกแม่เสือมีสิทธิประดับเข็มเครื่องหมายเป็นรูปหน้าเสือทำด้วยเงินเชิญพระปรมาภิไธย
ย่อว่า ว.ป.ร. ทองอุณาโลมมีโบว์ดำเป็นรูปดอกจันทร์สอดใต้เข็มเครื่องหมาย ติดไว้ที่อกเสื้อ

 ในขณะนั้นสมาชิกแม่เสือไม่มีเครื่องแบบและไม่มีระเบียบข้อบังคับ ต่อมาพระองค์ได้มีพระราชดำริ
ที่จะตั้งขึ้นเป็นกองลูกเสือหญิง และได้ทรงคิดนามพระราชทานไว้ว่า เนตรนารี ด้วยทรงเห็นว่า
เด็กผู้หญิงย่อยมมีความสำคัญแก่ครอบครัว ถ้าได้รับการฝึกอบรมตามวิธีการของลูกเสือ
ก็จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้เป็นอย่างมาก จึงทรงร่างข้อบังคับลักษณะปกครอง
คณะเนตรนารีมากล่าวไว้ ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานปรารถนาว่า

 ได้ทรงจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นเพื่อบำรุงเด็กชายให้ได้รับการฝึกฝนในทางที่จะเป็นผู้มีลักษณะ
สมกับที่เป็นพลเมืองอันพึงปรารถนา มีพระราชประสงค์ที่จะทำนุบำรุงเด็กหญิงด้วย
เพราะเด็กหญิงเป็นผู้มีความเป็นเป็นอยู่ของชาติ ต้องอาศัยนับจำเดิมแต่ปฐมวัยมา
คือ เด็กหญิงเป็นผู้ที่นำทางพี่น้อง แม้ที่สุดบางทีก็ถึงนำทางบิดา มารดา ด้วยเมื่อเติบโตเป็นพลเมือง
ในสมัยข้างหน้าไปตามที่ได้รับ การอบรมได้จึงมีพระราชดำริว่า ถึงเวลาที่ควรจะฝึกหัดให้หญิง
เป็นผู้นำทางไปที่ชอบ คือ ฝึกฝนให้เด็กหญิงเหมาะที่จะเป็นพลเมืองดีในภายหน้าด้วยการอบรมนิสัย
ฝึกหัดให้รู้จักสังเกต รู้จักอยู่ในถ้อยคำของผู้ใหญ่ ตลอดจนอยู่ในพระราชกำหนดกฎหมาย
มีความจงรักภักดีต่อผู้ใหญ่ของตน ตลอดจน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
 มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ทำประโยชน์แก่มหาชนและในกิจการที่จะเป็นประโยชน์
แก่ตนที่ฝึกหัดร่างกายให้เจริญเต็มที่ จึงทรงตราพระราชบัญญัติเนตรนารีขึ้น

...ซึ่งเนตรนารี กองแรก คือ กองเนตรนารี โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ต่อมาได้เป็นชื่อ
โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย นางสาวหนุ่ย โชติกเสถียร ๑ ในเนตรนารีกองแรก
ได้เขียนถึงกิจกรรมสำหรบเนตรนารีในสมัยนั้น ไว้ว่า “ในปี พ.ศ.๒๔๕๗ โรงเรียนกุลสตีรวังหลัง
จัดตั้งกองเนตรนารีขึ้น และให้เราเป็นกลุ่มแรกที่รับการฝึกหัด ข้าพเจ้ายังจำและรู้สึกถึง
ความสนุกสนานของเวลานั้นได้จนบัดนี้ เราช่วยกันจัดข้าวของและห้องหลับ หองนอน
ตลอดจนช่วยครัว ห้าโมงเย็นก็ลงมือรับประทานอาหาร สองทุ่มก็เข้านอนกันหมด
เข้าเรียนเวลา สามโมงเช้า และเรียนกันตามใต้ร่มไม้ วิชาที่เรียนคือ

๑. วิชาพฤกษศาสตร์ เป็นวิชาที่พวกเราชอบมาก เพราะได้ลงมือเพาะเมล็ดพืช ผัก ดอกไม้ มันฝรั่งและหัวหอม

๒. วิชาปฐมพยาบาล หัดช่วยคนเป็นลม วิธีพันผ้าพันแผลและเข้าเฝือก เราจับเด็กชาวนามาชำระล้างและพันแผลให้

๓. วิธีทำกับข้าว หุงข้าว วิชานี้เป็นงานไปในตัว เพราะเราต้องผลัดเวรกันไปตลาดและทำกับข้าว
เวลาบ่ายๆเราต้องเรียนและฝึกซ้อมกฎของเนตรนาร คือพยายามหาความงามในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนประพฤติ
โดยมีความสุภาพอ่อนโยน อารีอารอบ ต้องพยายามหาความรู้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม และส่วนตัว
 อดทนในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เวลาเรียกเข้าประชุมอาจารย์มักจะกู่ว่า โว วิลโล่
 (คำที่ใช้เป็นเสียงร้องเรียก แทนการใช้สัญญาณนกหวีด) หลายๆครั้ง พวกเราก็รีบวิ่งมาทันที”

....ภายหลังเปลี่ยนการปกครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ กิจการลูกเสือทรุดโทรมลง กิจการเนตรนารี
ซึ่งมีสภาพเช่นเดียวกันก็พลอยทรุดโทรมลงไปด้วย มีการตั้งหน่วยยุวชนและยุวนารีขึ้นแทน
ในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เรืองอำนาจ การลูกเสือก็ยิ่งซบเซามากขึ้น ใน พ.ศ.๒๔๙๖
เมื่อกิจการลูกเสือได้ฟื้นฟูขึ้นแล้ว เรือเอกหลวงชัชวาล ชลธี หัวหน้ากองลูกเสือ จึงได้นำร่างข้อบังคับลักษณะ
 ปกครองคณะเนตรนารีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาขอให้ท่านผู้หญิงดุษฎี มาลากุล
 ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสภาวัฒนาธรรมแห่งชาติและอุปนายกสโมสรวัฒนธรรมหญิง
เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ รื้อฟื้นกิจการเนตรนารีขึ้นใหม่ใน พ.ศ.๒๔๙๙ ท่านผู้หญิงดุษฎี มาลากุล จึงได้นำเยาวชน
 สมาชิกของสโมสรวัฒนธรรมหญิง จำนวน ๓๒ คน ไปฝึกการอยู่ค่ายพักแรมที่ ตำบลอ่างศิลา จังหวัดชลบุรี

โดยต่อมา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
 ได้พระราชทานกำเนิดกองเนตรนารี และทรงรับกิจการเนตรนารีนี้ไว้ในพระอุปถัมภ์ โดยพระราชทานเงินสนับสนุน
กิจการและทรงเสด็จร่วมงานของคณะเนตรนารี ต่อมาพระราชทานนามคณะเตรนารีว่าคณะเนตรนารีเพชราวุธ
 โดยเกิดจากการสนธิระหว่างคำ ๒ คำ จากพระปรมาภิไธยของพระราชชนกและของพระองค์นั่นเองครับ...

....สำหรับวันนี้ต้องขอลา สวัสดีครับผม
บันทึกการเข้า

รวมบทประพันธ์ของ หนุ่มภูธร ณ ลุ่มน้ำป่าสัก คลิ๊กที่นี่
http://www.khonphutorn.com/index.php/topic,12043.0.html
ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจาก YouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: