-/> ประเพณีน่ารู้ ตอน ประเพณีขอฝน

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ประเพณีน่ารู้ ตอน ประเพณีขอฝน  (อ่าน 1253 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 1676
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลบอร์ดมีความคิดสร้างสรรค์นักโพสดีเด่น
กระทู้: 120
ออฟไลน์ ออฟไลน์
หนุ่มภูธร...ผู้ผิดหวังจากการเป็นครู
อีเมล์
   
« เมื่อ: 03 ธันวาคม 2561, 09:30:03 PM »

Permalink: ประเพณีน่ารู้ ตอน ประเพณีขอฝน
....ในวันนี้เรามาเริ่มเรื่องราวใหม่ๆกันบ้างดีกว่าครับ  coffee
เอาเป็นว่าวันนี้ขอเสนอเกี่ยวกับประเพณีขอฝนละกันครับ....

....อันว่าคนไทยเรานั้นมีพิธีขอฝนอยู่หลายวิธี  ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่ทำสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
 แม้คนไทยส่วนใหญ่คนมักรู้จักเพียงพิธีแห่นางแมวเท่านั้น เราลองมาดูทีละพิธีกันครับ ใครเคยผ่านหูผ่านตาบ้างลองมาเล่ากันนะครับ...

๑. อันที่จริงนั้น พิธีขอฝนที่พื้นฐานที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดของยุคนี้คือ"จุดบั้งไฟ"นั่นเองครับ เพื่อขอฝนจาก"พญาแถน"
ซึ่งคนภาคอีสานนั้นเชื่อว่า "พญาแถน" เป็นเทพที่ทำให้เกิดฝนตก จึงจัดพิธีจุดบั้งไฟบูชาพญาแถน
ซึ่งตำนานนี้มีปรากฏให้เห็นในวรรณกรรมและตำนานพื้นบ้านของอีสานหลายๆที่ครับ....
....อย่างไรก็ตาม ประเพณีบุญบั้งไฟนี้ปัจจุบันจัดขึ้นเพื่อแฝงวัตถุประสงค์บางอย่างมีการพนัน
ขันแข่งกันอย่างกว้างขวางซึ่งต่างไปจากแต่ก่อน ทุกวันนี้ในบางหมู่บ้านบางชุมชนก็ยกเลิกไป
เพราะด้วยสถานที่ที่ไม่เหมาะสมแต่ในบางแห่งก็ไม่ได้ขอฝนโดยการจุดบั้งไฟแต่ใช้การแห่นางแมวแทน
 อีกสาเหตุหนึ่งก็เรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะมักจะปรากฏข่าวแทบทุกปีว่ามีเศษบั้งไฟตกใส่บ้านเรือนประชาชนครับ.....

๒. ประเพณีแห่นางแมว

....เป็นพิธีกรรมขอฝนของเกษตรกรไทยทั้งภาคกลางและภาคอีสาน  เมื่อใกล้ฤดูเพาะปลูกแล้วแต่ฝนยังไม่มาหรือมาล่าช้า
 ชาวนาชาวไร่ก็จะทำพิธีแห่นางแมวขอฝน ซึ่งสมัยโบราณนั้น เชื่อกันว่าที่ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล
เกิดความแห้งแล้งไปทั่วนั้น มีอยู่หลายสาเหตุ เช่น ดินฟ้าอากาศแปรปรวน ผู้คนย่อหย่อนศีลธรรม
ผู้ปกครองไม่อยู่ในทศพิศราชธรรม และที่ใช้แมวแห่เพื่อขอฝนนั้น ก็มาจากความเชื่อกันว่า แมวเป็นสัตว์ที่กลัวฝน
กลัวน้ำ หากฝนตกเมื่อใดแมวจะร้อง คนโบราณถือเคล็ดว่า ถ้าแมวร้องแสดงว่าฝนกำลังจะตก บ้างก็เชื่อว่า
แมวเป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง หากแมวถูกสาดน้ำจนเปียกปอนก็เท่ากับเป็นการขับไล่ความแห้งแล้งออกไปจากเมือง
 เมื่อบ้านเมืองแห้งแล้งผิดธรรมชาติ จึงจะใช้อุบายทำให้แมวร้อง ด้วยการนำแมวมาใส่กระบุงหรือตะกร้าแล้วแห่ไปรอบๆ
หากขบวนแห่ผ่านหน้าบ้านใครก็ให้สาดน้ำใส่แมว เพื่อให้แมวร้องออกมา  
แต่บ้างก็เชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับสามารถเรียกฝนได้

....การจัดพิธีแห่นางแมวนั้น ต้องใช้แมวลักษณะดี คือ ต้องเป็นสายพันธุ์สีสวาด เพศเมีย  นำมา ๑-๓ ตัว
ใส่กระบุงหรือตะกร้าออกแห่ไปรอบๆ หมู่บ้าน ฝนก็จะตกลงมาภายใน ๓ วัน ๗ วัน สาเหตุที่ต้องเลือกแมวสีสวาด
ก็เพราะคนโบราณมองว่าขนสีเทาคล้ายกับสีเมฆฝน บางแห่งอาจจะใช้แมวดำแทน ในระหว่างที่แห่นางแมว
จะมีคนทำหน้าที่ร้องเพลงเซิ้ง ตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้เกิดจังหวะสนุกสนานไปด้วย เนื้อหาการเซิ้งก็จะบรรยายถึงความแห้งแล้ง
 และอ้อนวอนให้ฝนตกลงมา ขบวนแห่นางแมวจะเคลื่อนไปทั่วทุกหลังคาเรือน โดยมีกติการ่วมกันว่า
ขบวนแห่นางแมวไปถึงบ้านใคร บ้านนั้นจะต้องเอาน้ำสาด(แมวสีสวาดซวยไปงานนี้ 555)

๓.สวดมนต์ปลาช่อนเสี่ยงทายฝน

....พิธีสวดมนต์ปลาช่อน (หรือปลาค่อ) เป็นพิธีและประเพณีโบราณของทางอีสาน  
ยามฝนแล้งก็จะจัดให้มีพิธีสวดมนต์ปลาช่อนเพื่อเสี่ยงทายถามว่าฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่
ซึ่งพิธีการจะเริ่มจาก ชาวบ้านได้นิมนต์พระสวดเจริญพระพุทธมนต์ และท่องคาถา "มนต์ปลาช่อน"
 เพื่อขอฝน และทำการเสี่ยงทายปลาช่อนจำนวน ๓ ตัว ที่ปล่อยลงหลุมขนาดเล็กที่ชาวบ้านขุดไว้
สูงประมาณสามสิบเซ็นต์  โยงสายสิญจ์ให้พระ ๙ รูปสวดมนต์คาถาปลาช่อน  
โดยมีความเชื่อว่า หากปลากระช่อนกระโดดออกจากหลุม จะมีความโชคดี น้ำฝนจะตกต้องตามฤดูกาล
มีฝนเพียงพอต่อการทำการเกษตรและการดำรงชีวิต

....พิธีสวดมนต์ปลาช่อนนั้น ถือเป็นพิธีโบราณที่มีอ้างอิงตามพุทธตำนาน ที่กล่าวถึงชาดกตอนหนึ่ง
โดยมีชาติกำเนิดชาติหนึ่งพระโพธิสัตว์ที่เกิดเป็นพญาปลา แล้วเกิดแล้งน้ำ พญาปลาจึงตั้งจิตอธิษฐานให้เทวดาเทฝนลงมา
 ซึ่งเป็นที่มาของบทขอฝน หรือ"มัจฉราชจริยํ" จะจัดให้มีพิธีสวดมนต์ ต่อเนื่องกันจำนวน ๓ วัน ตามคติความเชื่อโบราณ
ที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดและเล่าขั้นตอน และวิธีในการจัดสวดมนต์ปลาช่อน
ซึ่งการสวดมนต์ปลาช่อนก็ไม่แตกต่างจากประเพณีแห่นางแมวนั่นเองครับ(อันนี้ปลาช่อนงานเข้า 555)

๔.แห่ขุนเพ็ด
....การขอฝนตามความเชื่อของบางแห่งจะมีพิธีแห่ดอกไม้เจ้าพ่อ รูปอวัยวะเพศชาย เรียกว่า "ขุนเพ็ด"
 ทำด้วยต้นกล้วยหรือต้นข่อยใหญ่ แห่ขุนเพ็ดไปตามหมู่บ้านแล้วก็เอาไปเก็บไว้ที่ศาลเจ้าแม่ชายทุ่ง  
โดยเชื่อว่าฝนจะตกทันที เมื่อเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ได้อยู่ด้วยกัน ในตำราพิรุณศาสตร์ ได้ปรากฏเรื่องราวไว้ว่า
 ได้ใช้วิธีปั้นเมฆ ปั้นรูปชายหญิงเปลือยกาย ในการขอฝน

....ในการแห่มีการใช้สัญลักษณ์ที่ใช้อันส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชาย
เรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสานหรือ "ขุนเพ็ด" ในภาคกลางเข้าร่วมขบวนแห่
ทั้งยังมีการร้องเซิ้งด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์(และอาจมีอวัยวะเพศหญิงด้วย)
 สัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ระหว่าง ฟ้ากับดิน หญิงกับชาย ที่เป็นพลังก่อกำเนิดชีวิต
 และเป็นพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความสัมพันธ์กับการขอฝน ซึ่งเป็นที่มาของพลังแห่งการเติบโตของพืช
 และด้วยเหตุที่อวัยวะเพศ และเพศสัมพันธ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญ และด้วยพิธีนี้ค่อนข้างอุจาด
จึงไม่ให้ทำในพระนคร ต้องไปทำกันตามกลางทุ่งนา(แหงละ แห่ทีคงมีกรี๊ดสนั่นกรุง อิอิ)

๕.แห่ช้างปัจจัยนาเคนทร์
....พิธีขอฝนอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจคือ การแห่ช้างแห่ม้าที่เรียกว่า "ช้างปัจจัยนาเคนทร์"
เป็นพิธีที่จัดขึ้นเนื่องจากจุดบั้งไฟแล้วฝนก็ยังไม่ตก แห่นางแมวแล้วฝนก็ยังไม่ตก เป็นงานที่จัดขึ้นในระดับตำบล
หรืออำเภอเพราะมีผู้มาร่วมงานอย่างล้นหลาม แต่ก็ไม่ได้จัดบ่อยนัก ช้างที่นำมาใช้แห่คือ ช้างปัจจัยนาเคนทร์หรือ
 ช้างปัจจัยนาค2 ซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมือง คู่บารมีของพระเวสสันดร ตามปรากฏในวรรณกรรมเรื่องพระเวสสันดร
 ซึ่งเป็นชาดกที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระองค์จะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการให้ทานหรือทานบารมี โดยยกเนื้อเรื่องมาพอสังเขป คือเมืองสีวี สีพี หรือสีวีหล้า
 มีกษัตริย์ปกครองคือพระเจ้าสัญชัย มีโอรสชื่อ"พระเวสสันดร" ซึ่งต่อมาพระเวสสันดรแต่งงานกับนางมัทรี
 มีโอรสและธิดา ๒ องค์ คือ พระกัณหาและพระชาลี อยู่กินกันหลายปี พระเวสสันดรเองเป็นผู้ที่มักให้ทานอยู่เป็นนิจ
บ้านเมือง อาณาประชาราชอยู่สุขสบายมาโดยตลอด ด้วยเพราะบุญญาบารมีของพระองค์ประกอบกับช้างคู่บารมี
คือช้างปัจจัยนาเคนทร์ที่ทุกคนเชื่อว่าช้างปัจจัยนาเคนทร์ทำให้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ การให้ทานของพระเวสสันดรนั้น
ให้ได้ทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจเพราะต้องการบำเพ็ญทานบารมีในชาติก่อนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อไป
 คือให้ได้แม้กระทั่งเมียและลูกที่เฒ่าชูชกมาขอไปเลี้ยงและเอาไว้เป็นขี้ข้ารับใช้ ที่สำคัญพระเวสสันดร
ให้ช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่บ้านเมืองอื่น เพราะบ้านเมืองที่แห้งแล้งฝนไม่ตกก็จะพากันมาทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ไปไว้
ที่เมืองของตนจะได้ชุ่มชื่น เนื่องจากช้างปัจจัยนาเคนทร์อยู่ที่ใดที่นั่นก็จะอุดมสมบูรณ์
จึงมีแต่คนอยากได้และพระเวสสันดรก็ได้ให้ไปซึ่งฝ่ายพระเจ้าสัญชัยพระบิดาไม่อยากเสียช้างปัจจัยนาเคนทร์ไป
แต่พระเวสสันดรก็อยากให้ทาน พระเจ้าสัญชัยจึงขับไล่พระเวสสันดร นางมัทรี กัณหาและชาลี ออกจากเมือง
แต่ถึงกระนั้นพระเวสสันดรก็มิว่างเว้นจากการให้ทานพร้อมสั่งสอนลูกเมียให้หมั่นให้ทานเรื่อยมา

....เรื่องราวของช้างปัจจัยนาเคนทร์ที่นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ จึงได้มีการจัดพิธีแห่ช้างปัจจัยนาเคนทร์ขึ้น
มีการจำลองเหตุการณ์ที่เหมือนจริงตามเรื่อง มีคนเล่นเป็นพระเวสสันดร นางมัทรี กัณหา ชาลี เฒ่าชูชก
มีการนำไม้ไผ่ ผ้า กระดาษสีต่างๆมาทำเป็นช้างตัวใหญ่มหึมาสวยงาม มีการแห่จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง
และขับร้องกลอนลำเป็นเรื่องราวระหว่างทาง ตลอดขบวนแห่ก็มีการสาดน้ำ ฟ้อนรำสนุกสนานกันทั่วหน้า
 ไม่นานฝนที่ทำท่ามืดครึ้มก็ตกลงมาให้เย็นชุ่มฉ่ำกัน

๖.แห่พระอุปคุต
....พิธีบวงสรวงและอัญเชิญพระอุปคุตนั้น จะมีการแห่ริ้วขบวนแห่รอบหมู่บ้าน  เพื่อสืบสานประเพณีบุญเดือนสี่
หรือบุญมหาชาติ ของพุทธศาสนิกชนชาวอีสาน ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล  ซึ่งหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ช่วยดลบันดลให้เกิดปาฏิหาริย์ให้ฝนตกเพื่อช่วยบรรเทาความแห้งแล้ง  
ที่ไม่สามารถประกอบอาชีพทั้งเกษตรกรรมและการประมงเหมือนเช่นทุกๆปี

....ตามคติความเชื่อของชาวพุทธ มูลเหตุในการประกอบพิธีบวงสรวงบูชาพระอุปคุตตำนานระบุว่า
เป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา  ได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
 เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพและฤทธิ์เดช สามารถแสดงอภินิหาร ปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย
ท่านได้เนรมิตเรือนแก้วหรือกุฏิแก้วขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้ว  
เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือมีผู้นิมนต์ท่าน ก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ อย่างในกรณีที่ชาวบ้านกำลังประสบภัยแล้ง
 และตรงกับเทศกาลบุญเดือนสี่หรือบุญมหาชาติ  จึงได้ประกอบอัญเชิญท่านขึ้นมา เพื่อประทานความเป็นสิริมงคล
ตลอดจนอธิษฐานอ้อนวอน ให้ท่านดลบันดาลฝนตกลงมาแก้ปัญหาภัยแล้งอีกด้วย....


๗.ปั้นหุ่นร่วมเพศ(เอ่อ...มีด้วยหรือนี่)
....การปั้นหุ่นร่วมเพศเพื่อเป็นการขอฝนยามแห้งแล้ง เป็นประเพณีโบราณที่ทำสืบทอดมานานกว่า ๑๐๐ ปี
 สำหรับการปั้นหุ่นจะนำเอาดินเหนียวจากทุ่งนามาปั้นเป็นหุ่นผู้ชาย โดยตั้งชื่อว่านายเมฆ  
  ส่วนหุ่นผู้หญิงตั้งชื่อว่านางฝน และหุ่นผู้ชายที่นั่งดูตั้งชื่อว่า นายหมอก
 ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการทำภาพประจานต่อสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา จนทำให้เกิดอาเพศ และเทวดาทนดูไม่ได้
 จึงดลบันดาลให้ฝนตกลงมาชะล้างหุ่นดินเหนียวดังกล่าว ให้ละลายหายไปนั่นเอง....

จบแล้วครับกับประเพณีขอฝนในไทย ส่วนตัวเคยพบเจอแค่ข้อหนึ่งกับสองเท่านั้นครับ
ท่านใดเคยเจอแบบไหนบ้างลองมาเล่ากันนะครับ วันนี้ก็ขอกล่าว สวัสดีครับผม....
บันทึกการเข้า

รวมบทประพันธ์ของ หนุ่มภูธร ณ ลุ่มน้ำป่าสัก คลิ๊กที่นี่
http://www.khonphutorn.com/index.php/topic,12043.0.html
ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจาก YouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: