-/> โคลิค คืออะไร และรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยมีอาการโคลิค

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดสุขภาพสุขภาพ (ผู้ดูแล: ญิบสลิล ณ นคร, หมอกริชครับ...คมกริช... คมกริช)โคลิค คืออะไร และรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยมีอาการโคลิค
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: โคลิค คืออะไร และรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยมีอาการโคลิค  (อ่าน 1694 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,136
ออนไลน์ ออนไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2560, 09:37:20 AM »

Permalink: โคลิค คืออะไร และรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยมีอาการโคลิค


โคลิค คืออะไร และรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยมีอาการโคลิค


การร้องไห้โยเยของลูกน้อยอาจเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งเพื่อบอกความต้องการของพวกเขาว่ากำลังหิว รู้สึกกลัว ไม่สบาย
หรือต้องการการนอนหลับพักผ่อน แต่บางครั้งคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมลูกน้อยตื่นมาร้องไห้เสียงดังกลางดึก
และร้องไห้ยาวนานกว่าปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าลูกน้อยมีอาการโคลิค

โคลิคคืออะไร
โคลิคคืออาการของทารกที่มีอายุราว ๆ 2-4 สัปดาห์ ร้องไห้อย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุและไม่สามารถกล่อมให้หยุดร้องไห้ได้
 ถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับทารกทุกคน ทั้งเพศชายและเพศหญิง แม้จะมีสุขภาพดี
หรือรับประทานนมได้ตามปกติก็ตาม โดยทั่วไป เมื่อทารกรู้สึกหิว กลัว เหนื่อย หรือรู้สึกเปียกชื้นมักจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา
 แต่หากมีอาการโคลิคจะร้องไห้หนักมาก และร้องไห้ในช่วงเวลาเดิม ๆ เป็นประจำ โดยเฉพาะเวลาเย็นหรือหัวค่ำ
และจะร้องเสียงดัง เสียงแหลม และนานกว่าปกติ โดยรวมแล้วจะร้องไห้ประมาณวันละ 3 ชั่วโมง มากกว่าสัปดาห์ละ 3 วัน
และยาวนานอย่างน้อย 3 สัปดาห์หรือบางรายอาจนานกว่านั้น และอาจมีอาการดีขึ้นเมื่ออายุประมาณ 3-4 เดือน

โคลิคเกิดจากอะไร
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการโคลิค แต่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น
-การหดเกร็งของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร
-มีลมหรือแก๊สในท้องมาก ซึ่งการร้องไห้อาจทำให้ทารกกลืนลมจำนวนมากเข้าไปในท้อง
-อาการปวดท้องที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนในร่างกายปรับเปลี่ยน
-การถูกรบกวนหรือถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกมากเกินไป เช่น เสียง แสงไฟ เป็นต้น
-พื้นฐานทางอารมณ์ของทารก หรือเด็กที่พ่อแม่มีปัญหาทางอารมณ์
-การพัฒนาของระบบประสาทที่ยังไม่สมบูรณ์ หรือการระคายเคืองของระบบประสาท
-ปัญหาจากการป้อนนม ได้แก่ ป้อนมากเกินไป น้อยเกินไป หรือป้อนผิดวิธี
-ปัญหาทางสุขภาพของทารก เช่น กรดไหลย้อน หูอักเสบ โรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
-ไส้เลื่อน แพ้นมวัว ผื่นผ้าอ้อม เป็นต้น

เมื่อไรควรไปพบแพทย์
ถึงแม้ว่าการร้องไห้โยเยของเจ้าตัวน้อยจะเป็นเรื่องปกติแต่หากคุณพ่อคุณแม่กังวลใจหรือสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง
ของพฤติกรรมการรับประทาน การนอน หรือการร้องไห้ที่ผิดปกติไปจากเดิมก็อาจไปปรึกษาแพทย์ได้
และหากพบว่าลูกน้อยมีอาการต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

-ร้องไห้หนักมาก ร้องนาน ร้องเสียงแหลม หรือกระสับกระส่าย
-อุ้มขึ้นมาและทารกตัวอ่อนปวกเปียก
-ไม่ยอมกินนม
-อาเจียนเป็นของเหลวสีเขียว ๆ
-อุจจาระเป็นเลือด
-มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียสสำหรับทารกที่อายุต่ำกว่า 3 เดือน หรือมีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส
สำหรับทารกที่อายุ 3-6 เดือน
-กระหม่อมบุ๋ม
-ตัวเขียว หรือผิวซีด
-มีอาการชัก
-มีอาการหายใจผิดปกติ

การรักษาสำหรับเด็กที่มีอาการโคลิค
เนื่องจากอาการโคลิคนี้ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้จึงยังไม่มีวิธีรักษาโดยเฉพาะ อีกทั้งอาการโคลิคมักจะดีขึ้น
หรือหายไปเองเมื่อทารกมีอายุประมาณ 3-4 เดือน แต่ยาบางชนิดก็อาจช่วยได้ เช่น ไซเมทิโคน โดยหยดลงในขวดน้ำ
หรือป้ายที่นมแม่ก่อนให้นม ซึ่งจะช่วยลดแก๊สหรือกรดเกินในกระเพาะอาหารของทารก อย่างไรก็ตาม
การใช้ยาสำหรับทารกควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งปริมาณ ขนาด รวมถึงระยะเวลาในการใช้ยา

รับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยมีอาการโคลิค
เมื่อเจ้าตัวน้อยร้องไห้ อาจแสดงถึงความต้องการว่าหิว เหนื่อย กลัว หรืออาจร้องไห้เพราะเจ็บป่วยหรือเป็นผล
มาจากความผิดปกติในร่างกาย ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อลูกน้อยร้องไห้หนักคือพาไปพบกุมารแพทย์
เพื่อตรวจสอบว่ามีความผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้นหรือไม่ จากนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลรักษาสุขภาพกายและใจ
อาจเริ่มจากการพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเตรียมความพร้อมและรับมือกับอาการโคลิคของลูกน้อย

การรับมือกับอาการโคลิคทำได้หลายวิธี แต่บอกไม่ได้ว่าวิธีไหนคือวิธีที่ดีที่สุด อาจต้องใช้เวลาในการค้นหา
หรือทดลองจนกว่าจะเจอวิธีที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่อาจลองปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

ตรวจสอบความชื้นของผ้าอ้อมหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูปว่าเปียกหรือชื้นมากเกินไปจนทำให้เจ้าต้วน้อยไม่สบายตัวหรือเปล่า
ปรับอุณหภูมิภายในห้องให้ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป ป้อนนมให้ลูกน้อยท้องอิ่มจะได้ไม่ร้องไห้โยเย
บางครั้งทารกร้องไห้อาจจะไม่ได้หิวนมเสมอไป เพียงแค่ต้องการหรืออยากจะดูดบางอย่าง
คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกน้อยดูดจุกหลอก หรือดูดนิ้วมือของทารกเองก็ได้
อุ้มเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนแล้วโยกไปมาเบา ๆ ให้รู้สึกถึงความใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่
 หรือใช้เป้อุ้มเด็กแล้วพาออกไปเดินเปลี่ยนบรรยากาศภายนอก อาจช่วยให้ทารกสงบลงได้

นวดผ่อนคลาย เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป นอกจากจะช่วยผ่อนคลายทารกแล้วยังช่วยไล่ลม
และกระตุ้นระบบย่อยอาหารได้อีกด้วย ทำได้ทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดีของเจ้าตัวน้อยตามท่าดังต่อไปนี้
ท่าวนเป็นก้นหอย ใช้นิ้วมือแตะที่บริเวณสะดือแล้วนวดวนเป็นก้นหอย ทิศทางตามเข็มนาฬิกาจากด้านในออกสู่ด้านข้าง
หรือด้านล่างของลำตัว ไออุ่นของนิ้วมือจะช่วยให้ทารกผ่อนคลายและรู้สึกสงบลง
ท่าเท้าแตะปลายจมูก เป็นท่าที่ช่วยไล่ลม โดยให้ทารกนอนหงาย งอเข่าเล็กน้อย จับฝ่าเท้าทั้ง 2 ชนติดกัน
 แล้วพยายามยกไปแตะที่ปลายจมูก
ท่าบิดหมุน ให้ทารกนอนหงาย พยายามให้ช่วงตัวครึ่งบนราบติดพื้น เหยียดขาตรงหรืองอเข่าเล็กน้อย
 จับที่ปลายเท้าของทารก แล้วโยกไปมาจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ท่านี้อาจช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้
ท่างอและยืดขา ให้ทารกนอนราบไปกับพื้น เหยียดขาตรง แล้วจับปลายเท้าของทารกขึ้นให้เข่างอไปแตะที่บริเวณกลางลำตัว
ท่านี้จะช่วยไล่ลมได้เช่นเดียวกัน
ท่านิ้วโป้งนวดวน ให้ทารกอยู่ในท่าที่สบาย แล้วใช้นิ้วโป้งนวดวนเป็นก้นหอยที่บริเวณฝ่าเท้าหรือฝ่ามือของทารก
 จะส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารและไล่ลมได้

คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองที่ลูกน้อยมีอาการโคลิค

การดูแลและรับมือกับลูกน้อยที่มีอาการโคลิคนั้นอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
อาจต้องทำการบ้านหนักสักหน่อย อย่างไรก็ตาม ควรนึกอยู่เสมอว่าอาการโคลิคไม่ใช่ความผิดของใคร
 ถือเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับทารกทุกคน อาการจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ลูกน้อยมักจะหยุดร้องเมื่อมีอายุย่างเข้า 4-6 เดือน

 ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของตัวเองให้ดี หากรับมือไม่ไหว
อาจขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ และสมาชิกในครอบครัวให้ผลัดกันช่วยดูแลในยามที่ลูกน้อยมีอาการโคลิค
 หรือสามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพเด็กได้ที่สายด่วนโรงพยาบาลเด็ก หมายเลขโทรศัพท์ 1415

ขอบคุณที่มา  POBPAD

บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: