-/> อาการสุดแปลกที่เกิดกับร่างกาย ขนาดหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ !

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดสุขภาพสุขภาพ (ผู้ดูแล: ญิบสลิล ณ นคร, หมอกริชครับ...คมกริช... คมกริช)อาการสุดแปลกที่เกิดกับร่างกาย ขนาดหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ !
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: อาการสุดแปลกที่เกิดกับร่างกาย ขนาดหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ !  (อ่าน 1506 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 2578
เหรียญรางวัล:
นักอ่านยอดเยี่ยม
กระทู้: 228
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2560, 08:57:59 AM »

Permalink: อาการสุดแปลกที่เกิดกับร่างกาย ขนาดหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ !





อาการสุดแปลกที่เกิดกับร่างกาย ขนาดหมอยังหาสาเหตุไม่ได้คิดดูสิ !
สมัยนี้มีทั้งอาการป่วยและโรคแปลก ๆ ที่หาสาเหตุไม่พบเป็นกรณีศึกษามากมายรวมถึง 16 อาการที่น่าพิศวงเหล่านี้
ด้วยการันตีได้เลยว่าบางเคสอาจทำให้ต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่งอึ้งและเสียว !
          ทุกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายแบบเบา ๆ อาจไม่น่าเป็นกังวลมากพอจะทำให้หลายคนใส่ใจความผิดปกติ
ของร่างก­­­ายทว่าอย่าปล่อยให้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายผ่านเลยไปเฉย­­­ ๆ ดีกว่าค่ะเพราะหากโชคไม่เข้าข้าง
เกิดอาการผิดปกติดังเช่นที่ livesciene เขาเผยข้อมูลมาแบบนี้อาจทำให้เราตระหนักได้เลยว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไป



อาการปวดหัวเพราะดูภาพโป๊
          จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนุ่มอินเดียโร่เข้ามาปรึกษาแพทย์ด้วยความร­้อนใจด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรงระหว่างที่ดูหนังโป๊ !
 โดยเขาเล่าว่าอาการปวดหัวของเขาจะเริ่มต้นขึ้นในช่วง 5 นาทีแรกของวิดีโอวาบหวิวและอาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อย
ไปจนพีคสุดเมื่อหนังโป๊เล่นไปแล้ว 10 นาที
          ทั้งนี้ ดร. เอมี่เกลแฟน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ได้สันนิษฐานเคสของพ่อหนุ่มภารตะรายนี้ว่าอาการปวดหัวขณะเสพสื่อลามกอนาจารของเขาอาจเกิดจากกล้ามเนื้อบริ­เวณต้นคอ
และกรามกระตุกอย่างรุนแรงในขณะที่ร่างกายรู้สึกมีอารมณ­์ต่อสิ่งยั่วเย้าทางเพศ ซึ่งอาจส่งผลไปถึงระบบประสาท
และหลอดเลือดภายในสมองจนกลั่นออกมา­เป็นอาการปวดหัวจี๊ด ๆ อย่างที่ว่า
          อย่างไรก็ตาม ดร.เอมี่เกลแฟนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าปกติอาการปวดหัวเฉียบพลันขณะถึงจุดสุดยอดเราก็เห็นกันมาบ้าง
แต่ในเคสนี้หนุ่มอินเดียกลับปวดหัวเพียงแค่เริ่มดูหนังโป๊ซึ่งก็ถือเป็นอาการที่แปลกใหม่ในวงการแพทย์และจนปัจจุบันนี้ก็ยังหาสาเหตุของอาการไม่พบ
 ได้แต่รักษากันไปตามเรื่องตามราวเท่าที่จะทำได้




ชักจนโคม่าแค่ซดซีอิ๊วเกินขนาด
          หนุ่มน้อยจากรัฐเวอร์จิเนียร์วัย 19 ปีเล่นแผลง ๆ ด้วยการซดซีอิ๊วขาว 1 ถ้วยตวงเต็ม ๆ สุดท้ายก็เกิดอาการเกร็งกระตุก
และชักจนหมดสติไปต้องหามส่งโรงพยาบาลกันให้วุ่นนอนห้องไอซียูถึง 3 วันด้วยกันเพราะอาการเข้าขั้นโคม่า !
          จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแพทย์ก็สันนิษฐานว่าอาการผิดปกติที่เกิดกับเด็กหนุ่มเข้าข่ายอาการของภาวะโซเดียมใน­เลือดสูง
หรือระดับเกลือในกระแสเลือดสูงถึงขีดอันตราย
          ทั้งนี้แพทย์ยังเสริมมาอีกว่าซีอิ๊วขาว 1 ถ้วยตวงมีโซเดียมอยู่ปริมาณ 150 กรัมซึ่งเมื่อโซเดียมปริมาณขนาดนี้
เข้าสู่ร่างกายร่างกายก็จะลดระดับโซเดียมส่วนเกินด้วยการดึงน้ำจากเซลล์ต่าง ๆ มาชำระล้าง
ดังนั้นเมื่อเซลล์ตกอยู่ในสภาวะขาดน้ำอาการชักจึงเกิดขึ้นนั่นเอง
          สุดท้ายแล้วรายงานจากวารสาร Emergency Medicine ก็เผยว่าแพทย์ตัดสินใจรักษาหนุ่มน้อย
ด้วยการเติมน้ำตาลกว่า 5.7 ลิตรเข้าสู่ร่างกายของเขาเพื่อให้น้ำตาลช่วยปรับระดับโซเดียมในร่างกายให้เป็นปกติ
 จนในที่สุดเด็กหนุ่มคนนี้ก็พ้นขีดอันตราย ที่สำคัญไม่มีปัญหากับระบบประสาทเลยสักนิดด้วย รอดตัวไปนะพ่อหนุ่ม




หลอดอาหารบิดเป็นเกลียว
          คุณยายชาวสวิสวัย 87 ปีน้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจไปตั้ง 5 กิโลกรัมภายในไม่กี่เดือนเหตุเพราะเธอแทบจะกินอาหารไม่ได้เลย
 เนื่องจากทุกครั้งที่กินอาหารจะรู้สึกทรมานเหมือนกล้ามเนื้อข้า­งในบิดเกลียว
และจากผลเอกซเรย์ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine ก็แสดงผลอย่างเป็นทางการมาว่า
อาการที่เธอเป็นอยู่เกิดจากหลอดอาหารบิดเกลียวเหมือนตัวน็อตไม่­มีผิดเพี้ยน !
          ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จากประเทศอังกฤษยังถึงกับเงิบไปนา นแถมยังบอกอีกด้วยว่าอาการบิดเกลียวของหลอดอาหาร
ที่เกิดกับคนไข้รายนี้แปลกมากและตอนนี้ก็ยังหาสาเหตุของอาการไม่พบ
          แต่ทั้งนี้ ดร.จอห์นแพนดอลฟิโน แพทย์จากโรงพยาบาลนอร์ธเวสเทิร์นเมโมเรียลชิคาโก ก็สันนิษฐานอาการของคนไข้คร่าว ๆ
ว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่ควบคุมหลอดอาหารซึ่งปกติแล้วต้องเคลื่อนไหวอย่างเชื่อมโยงไปทีละชั้น
นับจากจากก­ล้ามเนื้อส่วนปากไปจนถึงหลอดอาหาร ทว่ากล้ามเนื้อของคนไข้กลับทำงานพร้อม ๆ
กันเป็นเหตุให้รู้สึกปั่นป่วนทรมานอย่างที่เป็น ที่สำคัญจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครหาวิธีรักษาอาการทรมานของคุณยาย­ได้เลย




ต้อกระจกรูปดาว
          แรงกระแทกอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นแรงกระแทกจากลูกบอลแรงอัดจากถุงลมนิรภัยหรือ
โดนชกอาจเป็นสาเหตุของต้อกระจก ซึ่งก็จะทำให้ต้อกระจกเกิดขึ­้นได้หลายรูปแบบ แต่ของชายหนุ่มวัย 55 ปีคนนี้
ที่เคสอาการป่วยของเขาแปลกจนต้องถูกตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine
ปรากฏว่าต้อกระจกในตาด้านซ้ายของเขามีลักษณะคล้ายรูปดาวแถมสีสันยังเหลืองทองสวยงามอีกต่างหาก
 แหม…จะว่าไปก็เก๋ไปอีกแบบนะแถมเคสนี้ยังไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไรด้วยเพราะแค่ผ่าตัดต้อกระจกก็กลับมามองเห็นเป็นปกติแล้ว




เนื้องอกใต้ตาดำ         
          วารสาร New England Journal of Medicine ตีพิมพ์เคสคนไข้หนุ่มน้อยชาวอิหร่านวัย 19 ปี
ผู้มีถุงน้ำงอก (limbal dermoid) ใต้ตาดำ โดยเจ้าเนื้องอกของเขาติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด ทว่าพออายุครบ 19 ปี
ความเจริญเติบโตของถุงเนื้องอกบริเวณนัยตาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ระดับที่วัดขนาดได้ประมาณ 0.64 เซนติเมตร
ที่สำคัญนอกจากขนาดก้อนเนื้อจะโตแล้วนานวันเข้ายังมีขนและคล้ายจะมีตุ่มเหงื่ออยู่อีกต่างหาก
ทว่าหนุ่มชาวอิหร่านคนนี้ก็ผ่าตัดถุงน้ำงอกไปเรียบร้อยแล้ว




นกเขาไม่ขันเพราะรอยสัก !
          ดันทะลึ่งไปสักเจ้าโลกกะอวดแฟนสาว แต่หนุ่มชาวอิหร่านวัยเพียง 21 ปีกลับต้องทนทุกข์กับอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศซะอย่างนั้น
โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาก็เผยว่าอาการเจ็บปวดเจ้าโลกของเขาเริ่มเป็นตั้งแต่ 8 วันแรกหลังทำการสัก
แถมต่อจากนั้นอีก 3 เดือนเขาก็พบว่าตัวเองมีอาการนกเขาไม่ขัน
          ก่อนแพทย์จะลองทำการรักษาด้วยวิธีเปิดทางระบายเลือดขึ้นมาใหม่เ­พื่อระบายเลือดส่วนเกินในองคชาต
ซึ่งผลการรักษากลับไม่เวิร์กอย่างที่คิด จนเมื่อปี 2012 วารสาร Sexual Medicine ก็รายงานความคืบหน้า
ว่าเคสของหนุ่มสุดซ่าคนนี้ยังหาทางรักษาไม่ได้สักที และในที่สุดเขาก็เลิกหวังและพยายามใช้ชีวิตตามปกติต่อไป
 โถ…น่าเห็นใจจริง ๆ พ่อคุณ





เป็นลมเพราะติดน้ำอัดลม
          เคยบอกไปแล้วว่าน้ำอัดทำร้ายสุขภาพเราได้มากมายขนาดไหน แต่ถ้ายังไม่เชื่อฟังกันอีกขอนำเคสของสาววัย 31 ปีคนนี้
มาให้เห็นผลเสียของน้ำหวานซ่าชื่นใจกันชัด ๆ อีกที โดยสาวโมร็อกโกคนนี้ดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 ลิตร
เรียกได้ว่าดื่มน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่ามาตั้งแต่เริ่มย่างเข้าอายุ­ 15 ปีจนกระทั่งเธอมีอายุครบ 31 ปี
ร่างอันไร้สติของเธอก็ถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเนื่องจา­กเป็นลมล้มพับไปหน้าตาเฉย
ซึ่งเมื่อแพทย์ทำการวินิจฉัยก็พบว่าระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำและอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
          ทั้งนี้แพทย์ก็เผยว่าพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมจนติดเป็นนิสัยขนาดนี้จะเป็นสาเหตุให้น­้ำในร่างกายถูกดูดเข้าสู่ลำไส้
ก่อนอาการคลื่นไส้พร้อมกับละลายธาตุโพแทสเซียมที่มีอยู่ในร่างกา­ย ส่วนคาเฟอีนในน้ำอัดลมยังขัดขวางร่างกาย
ให้ดูดซึมธาตุโพแทสเซีย­มอีกส่วน ซึ่งระดับโพแทสเซียมที่ต่ำกว่าปกติก็เป็นสาเหตุหลักของอาการหัว­ใจเต้นผิดปกติได้นั่นเอง
          ทว่าเพียงหยุดดื่มน้ำอัดลมแค่สัปดาห์เดียวระดับโพแทสเซียมและอัตราการเต้นหัวใจของเธอผู้นี้ก็กลับสู่สภาว­ะปกติเหมือนเดิม




ไม้จิ้มฟันฝังในตับ !
          เป็นอาการเจ็บป่วยที่เหลือเชื่ออีก 1 เคสเมื่อสาวใหญ่วัย 45 ปีเกิดอาการอ่อนเพลียลงเรื่อย ๆ
จนในที่สุดก็ถูกหามส่งโรงพยาบาลในไม่กี่อาทิตย์ต่อมาด้วยอาการอาเจียนอย่างหนักพร้อมกับระดับความดันเลือดต่ำจนน่าเป­็นห่วง
          โดยขั้นแรกแพทย์ก็สันนิษฐานว่าร่างกายของเธออาจติดเชื้อบางอย่า­ง ทว่าเมื่อส่งเข้าอุโมงค์เอกซเรย์
ก็ถึงกับผงะกับลักษณะของแข็งขนาด 1 นิ้วที่ฝังอยู่ในตับของคนไข้ และเมื่อผ่าตัดออกมาจึงได้รู้ว่าสิ่งนั้นมันคือไม้จิ้มฟันนั่นเ­อง !
          ทั้งนี้รายงานที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Case Reports ปี 2012 ก็เผยคำสันนิษฐานของแพทย์ไว้ว่า
 ไม้จิ้มฟันอาจหลุดรอดจากการย่อยจนหลุดมาอยู่ที่ตับ ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายสาวใหญ่
แต่เมื่อแพทย์ได้ทำการผ่าตัดนำไม้จิ้มฟันออก อาการของเธอคนนี้ก็พ้นขีดอันตรายหายเป็นปกติ




อาการเห็นภาพหลอนตลอดเวลา
          เคสนี้ ดร.บาร์เรตต์ คูมาร์ แพทย์ฝึกหัดจากมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้การันตีว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นบ้าไม่ได้หลอน
 เพราะผลข้างเคียงของยาทว่าเป็นอาการเสื่อมสภาพของเซลล์เยื่อชั้นในของลูกตาจนทำให้เห็นภาพหลอนเป็นปีศาจ
หรือเป็นสัตว์แปลก ๆ อยู่ประจำ         
          โดยทางการแพทย์จะเรียกอาการนี้ว่า อาการจอประสาทตาเสื่อมหรือโรค Charles Bonnet syndrome
ซึ่งก็นับเป็นโรคทางจักษุอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง



เนื้อเยื่อตายเพราะลูกแมวกัด
        อุตส่าห์ใจดีเข้าไปช่วยลูกแมวที่กำลังป่วยหนัก ทว่าแมวน้อยกลับทรยศแว้งกัดเข้าที่ข้อมือสาวน้อยชาวเนเธอร์แลนด­์วัย 17 ปี
 และหลังจากนั้นไม่กี่วันลูกแมวก็ป่วยตายจากเธอไปพร้อมกับแผลแมวกัดที่ข้อมือของเธอเริ่มออกฤทธิ์สร้างความเจ็บปวดบวมแดง
จนในที่สุดรอยแผลก็มีลักษณะคล้ายแผลไฟไหม้พุพองแถมขยายพื้นที่ใหญ่ขึ้นจนดูเป็นแผลฉกรรจ์         
          ซึ่งกว่าจะหาสาเหตุของอาการและหาวิธีรักษาได้เธอก็ต้องตระเวนไปปรึกษาแพทย์โดยใช้เวลาเกือบ 2 สัปดาห์
จนในที่สุดผลการวินิจฉัยของแพทย์ก็เผยว่าแผลของเธอมีสาเหตุมาจากไวรัสฝีดาษวัว (cowpox virus)
 และหลังจากเข้ารับการรักษาได้เพียง 1 สัปดาห์กว่า ๆ อาการเจ็บปวดของเธอก็ดีขึ้นตามลำดับ
          ทั้งนี้ ดร.โจแจนเนค เฮเมดา ก็ให้ข้อมูลว่าไวรัสฝีดาษวัวถือเป็นไวรัสที่ร่างกายสามารถควบคุมได้
 หมายถึงหากเกิดกับคนมีภูมิต้านทานแข็งแรงเชื้อไวรัสตัวนี้จะถูกทำลายไปเองโดยอัตโนมัติ ทว่าหากร่างกายอยู่ในช่วงอ่อนแอเชื้อไวรัสตัวนี้
อาจส่งผลกระทบกับร่างกายไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง­แต่ก็ยังไม่นับเป็นเชื้อโรคร้ายที่ต้องระวังเป็นพิเศษ




รอดจากอัมพาตแต่กลับใจกว้างเกินไป !

          หนุ่มบราซิลวัย 49 ปีคนนี้เกือบตกอยู่ในสภาพอัมพฤกษ์อัมพาต แต่รอดจากสภาพผัก (vegetative state) มาได้
ทว่ากลับมีบุคลิกที่เปลี่ยนไปโดยภรรยาของเขาเล่าว่าหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นจากอาการป่วยเขาก็เริ่มใช้จ่ายไปกับการช่วยเหลือคน
หรือพบเจอเด็กตามข้างถนนก็ซื้อลูกอมแจกจ่ายไปทั่ว จนหากศรีภรรยาไม่ห้ามปรามเอาไว้บ้าง
เธอก็เชื่อว่าครอบครัวอาจหมดเนื้อหมดตัวไปกับความเอื้อเฟื้อของ­สามีเลยทีเดียว
          โดยคำสันนิษฐานของแพทย์ผู้รักษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Neurocase ก็เผยผล CT Scan ว่าระดับความดันเลือด
ในสมองหลายส่วนอยู่ในระดับต่ำ แต่ในช่วงภาวะเส้นเลือดในสมองแตกอาจไม่ได้กระทบกับสมองส่วนกลาง­
จึงทำให้รอดจากการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
          ทว่าภาวะเส้นเลือดสมองแตกกลับส่งผลกระทบกับระบบประสาท ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้คนไข้มีบุคลิกและนิสัยบางอย่างเปลี่ยนไป



เข้าใจผู้อื่นมากขึ้นหลังจากผ่าตัดรักษาลมชัก
          หลังจากที่คนไข้สาวรายนี้เข้ารับการผ่าตัดต่อมทอนซิล (amygdala ) ในสมองอันเป็นสาเหตุของโรคลมชัก
คนรอบข้างก็สังเกตได้ชัดว่าเธอมีทักษะในการเข้าอกเข้าใจอารมณ์ข­องผู้อื่นได้ดีขึ้นซึ่งหากว่ากันตามจริงแล้วต่อมทอนซิลในสมอง
ส่วนนี้เป็นตัวสำคัญในการจดจำอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ และเมื่อถูกนำออกไปจากร่างกายอารมณ์และความรู้สึกของคนไข้น่าจะด้อยประสิทธิภาพลง
          ทว่าในเคสของสาวคนนี้การไร้ต่อมทอนซิลในสมองไม่ได้ส่งผลกระทบในทางลบกับเธอเลย
แต่กลับทำให้เธอสามารถเข้าใจและอ่านอารมณ์ของผู้อื่นได้ดีขึ้นซ­ะอย่างนั้น
          โดยผลวิจัยในวารสาร Neurocase ได้เผยข้อมูลการรักษาว่าแม้ต่อมทอนซิลในสมองของคนไข้รายนี้
จะถูกผ่าตัดออกไปแล้วทว่าสมองอาจสร้างต่อมรับรู้ความรู้สึกขึ้นมาใหม่ซึ่งเชื่อมโยงก­ับของเก่าทำให้ร่างกายประมวลผลทางอารมณ์
ได้เหมือนเดิมหรืออาจจะมีศักยภาพมากขึ้นด้วยซ้ำ




สารตะกั่วตกค้างในช่องท้อง
          กรณีของคนไข้เด็กคนนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine
 โดยคนไข้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุดังนั้น แพทย์จึงทำการเอกซเรย์ดูภายในช่องท้องอย่างละเอียด
พร้อมกับทำการล้างท้องเด็กก่อนเพื่อตรวจดูสิ่งผิดปกติที่อาจตกค­้างอยู่ในลำไส้ของเด็ก
          ในที่สุดสิ่งที่แพทย์พบก็คือก้อนขนาดเล็กในช่องท้องซึ่งแม้จะล้างท้องแล้วก็ยังฝังแน่นไม่ยอมไปไหน
สุดท้ายจึงจบลงด้วยการผ่าตัดลำไส้แล้วจึงพบว่าก้อนเล็ก ๆ ในช่องท้องนั้นฝังลึกอยู่ภายในไส้ติ่ง
และเมื่อผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกและผ่าพิสูจน์ก็ทำให้ทุกคนได้รู้ว่าก้อนเล็ก ๆ แสนดื้อด้านนั้น คือสารตะกั่วจำนวน 57 ก้อนเล็ก ๆ
 ซึ่งน่าจะมาจากการรับประทานของปิ้งย่างที่ครอบครัวโปรดปรานกันน­ักหนานั่นเอง




ติดเชื้อที่ขนรักแร้
          อีกหนึ่งเคสอาการสุดแปลกที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine เป็นเคสของหนุ่มใหญ่
ผู้มีปัญหากลิ่นตัวตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ­่น
          ทว่าระยะ 4 ปีให้หลังเขากลับมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับขนรักแร้ โดยความผิดปกตินั้นคือมีกลิ่นตัวฉุนจัด
พร้อมกับขนรักแร้มีลักษณะเปียกข้นเป็นสีเหลือง­ ซึ่งแพทย์ก็วินิจฉัยแล้วว่า อาการที่เกิดขึ้นกับเขา
เป็นภาวะขี้กลากรักแร้ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Corynebacterium tenuis
          ทั้งนี้แพทย์ได้แนะนำให้เขากำจัดขนรักแร้ให้เกลี้ยงเกลา เพื่อขจัดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ
 และภายในไม่กี่สัปดาห์ของการรักษาอาการติดเชื้อที่รักแร้ของชายหนุ่มผู้นี้ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ





รักษาอาการผิดปกติของเยื่อบุตาด้วยการโต้คลื่น !
          วารสารทางการแพทย์ BMJ Case Reports รายงานว่าคนไข้รายหนึ่งจากฮาวายผู้มีความผิดปกติที่เนื้อเยื่อเ­ส้นใยตา
ซึ่งพาดกระจกตาเขารักษาตัวเองด้วยการลืมตาสู้คลื่นทะเล
          โดยรายงานแจกแจงว่าปกติแล้วเคสอาการนี้จะรักษาด้วยการผ่าตัดซึ่งทำได้ไม่ยาก ทว่าคนไข้ชาวฮาวายคนนี้
กลับเลือกวิธีการรักษาสุดแปลกด้วยการลืม­ตาเล่นเซิร์ฟโต้คลื่นสูงกว่า 10 เมตร เพื่อให้กระแสคลื่นช่วยกำจัดเนื้อเยื่อเส้นใยตาส่วนเกินออก
ไปแล้วดันได้ผลการรักษาทีเวิร์กซะด้วยสิ
          ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ให้สัมภาษณ์ไว้ว่ากรณีนี้โชคดีที่กระแสน้ำไม่ได้ทำลายดวงตาของเขาแต่อย่างใด
ทว่านี่ก็ไม่ใช่วิธีการรักษาที่แนะนำ




ปวดหัวตุบ ๆ เพราะก้อนแคลเซียมฝังสมอง
          หากใครมีอาการปวดหัวตุบ ๆ เป็นระยะและยังหาสาเหตุไม่พบลองศึกษาจากรณีของหนุ่มน้อยชาวบราซิลรายนี้ดู
 โดยเขามีอาการปวดหัวตุบๆเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปีซึ่งเมื่อทำการ CT Scan แล้วก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติฝังอยู่ในสมองของเขา
นั่นก็คือก้อนแคลเซียมที่สะสมมาเรื่อย ๆ จนขัดขวางการไหลเวียนของเลือดในสมอง
          โดยแพทย์ก็สันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจมีสภาวะผิดปกติในช่องท้อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ในกระบวนการเติบโตได­้
 ดังนั้นธาตุเหล็กจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันจึงถูกส่­งไปสะสมอยู่ที่สมองกระทั่งสะสมเป็นก้อนขนาดใหญ่และเกิดอาการปวดหัวเช่นนี้ได้
          เจอเคสเหล่านี้ไปแล้วตระหนักถึงอันตรายใกล้ตัวกันบ้างไหมเอ่ย
ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าควรต้องใส่ใจสุขภาพและร่างกายตัวเองมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาจะได้หาทางรักษาให้หายเป็นปกติโดยพลัน


ขอบคุณภาพและเรื่อง จาก Internet  ครับ


บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: