หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ความดันต่ำ  (อ่าน 1427 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 7152
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลบอร์ดนักอ่านยอดเยี่ยมนักโพสดีเด่นมีความคิดสร้างสรรค์
กระทู้: 617
ออฟไลน์ ออฟไลน์
อีเมล์
   
« เมื่อ: 04 กันยายน 2561, 01:26:21 PM »

Permalink: ความดันต่ำ
ความดันต่ำ
ความหมาย ความดันต่ำ
   
ความดันต่ำ (Low Blood Pressure/Hypotension) เป็นภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ หรือมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ในผู้ใหญ่ สำหรับบางรายที่มีภาวะความดันเลือดต่ำ แต่ไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ ในทางการแพทย์ยังจัดว่าสุขภาพเป็นปกติดีและไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา

ความดันต่ำ

โดยปกติหัวใจจะมีการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายอย่างสม่ำเสมอผ่านหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดฝอย โดยอาศัยแรงดันภายในหลอดเลือดเป็นตัวช่วยสูบฉีด ซึ่งมีค่าการวัดเป็นมิลลิเมตรปรอท และสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ค่า โดยตัวแรก (หรือตัวบน) เรียกว่า ค่าความดันโลหิตซีสโตลิค (Systolic Pressure) เป็นแรงดันในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบตัว และตัวที่สอง (หรือตัวล่าง) เรียกว่าค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิค (Diastolic Pressure) เป็นแรงดันในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของผู้ใหญ่จะอยู่ระหว่าง 90/60 มิลลิเมตรปรอท และ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ดังนั้น หากวัดค่าความดันโลหิตได้สูงต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท จึงทำให้เกิดภาวะความดันเลือดต่ำ แต่ถ้าค่าที่วัดได้สูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปจะจัดเป็นภาวะความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ ภาวะความดันโลหิตต่ำยังแบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะในแต่ละช่วงเวลาที่ค่าความดันโลหิตลดลง เช่น ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension) จะเกิดเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทางอย่างทันทีทันใดจากการนั่งหรือนอนมาลุกขึ้นยืน หรือจากท่านอนมาเป็นท่านั่ง ความดันโลหิตต่ำหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ (Postprandial Hypotension) ความดันโลหิตต่ำขณะยืนเป็นเวลานาน (Neurally Mediated Hypotension) หรือความดันโลหิตต่ำรุนแรงจนนำไปสู่อาการช็อก


อาการของภาวะความดันโลหิตต่ำ

ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำกว่าปกติโดยธรรมชาติมักไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ แต่สำหรับผู้ที่เคยมีความดันโลหิตสูงแล้วลดลง แม้อาจไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยความดันโลหิตปกติก็ถือว่าเป็นภาวะผิดปกติที่ต้องรักษา ภาวะความดันโลหิตต่ำบางครั้งอาจเป็นผลมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกายจนเป็นผลให้ภาวะความดันโลหิตลดต่ำลง ผู้ป่วยจึงอาจพบอาการได้ดังนี้

วิงเวียนศรีษะ หน้ามืด เป็นลม
ทรงตัวไม่อยู่
มองเห็นภาพไม่ชัด
ใจสั่น ใจเต้นแรง
อาการมึนงง สับสน
คลื่นไส้
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
หายใจตื้นและถี่
กระหายน้ำ
ตัวเย็น ผิวซีด หนาวสั่น
อาการเหล่านี้มักจะเป็นชั่วคราว สำหรับผู้ป่วยที่เกิดอาการเล็กน้อยสามารถทำให้ดีขึ้นด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ หยุดทำกิจกรรมในขณะนั้น ค่อย ๆ นั่งพักหรือนอนลงชั่วครู่ แต่หากเป็นบ่อยหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เพราะอาจเป็นผลมาจากความผิดปกติด้านอื่นจนเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต

สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ

ความดันโลหิตต่ำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานยา ไปจนถึงเป็นผลพวงมาจากความผิดปกติของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งสาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำที่พบได้บ่อยอาจมาจาก

พันธุกรรม อาจมีส่วนให้เกิดภาวะความดันต่ำในรุ่นลูกหากพบว่าพ่อแม่มีภาวะความดันโลหิต ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ว่ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
อายุ ความดันโลหิตจะมีความแตกต่างกันในแต่ละวัน โดยปกติจะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
การรับประทานยา ยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blocker) ที่รักษาโรคหัวใจ ยารักษาโรคพาร์กินสัน ยากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic Antidepressants: TCA) ยารักษาผู้ที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ บางรายอาจเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อมีการรับประทานยาชนิดอื่นร่วมกับยาเสพติด แอลกอฮอล์ หรือยารักษาโรคความดันโลหิตสูง   
ภาวะขาดน้ำ เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำปริมาณมาก เช่น การขับน้ำออกทางผิวหนังในรูปแบบของเหงื่อ การอาเจียน หรือท้องเสีย
อาการป่วยหรือปัญหาสุขภาพ โรคประจำตัว ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย หรือสภาวะที่ต้องนอนพักอยู่บนเตียงเป็นระยะเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตต่ำขึ้นได้ เช่น
โรคโลหิตจาง เกิดจากปริมาณฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ที่เป็นสารสำคัญในเม็ดเลือดมีปริมาณต่ำกว่าปกติหรือมีจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อย อันเนื่องมาจากการสูญเสียเลือดปริมาณมากจากการบาดเจ็บรุนแรง ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ภาวะเลือดออกภายใน สามารถส่งผลให้ภาวะความดันโลหิตลดต่ำลงได้
ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นช้า (Bradycardia) ลิ้นหัวใจมีปัญหา ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นผลทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ
ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติ ผู้ที่มีความผิดปกติหรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ซึ่งจะเป็นตัวควบคุมการทำงานหลายส่วนภายในร่างกาย และควบคุมความกว้างและแคบของหลอดเลือด อาจส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ เช่น โรคพาร์กินสัน
ปัญหาเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ภาวะต่อมหมวกไตทำงานบกพร่อง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือในบางรายอาจมาจากโรคเบาหวาน
การสื่อสารระหว่างหัวใจและสมองผิดพลาด อาจก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำบางประเภท เช่น Neurally Mediated Hypotension เป็นภาวะความดันโลหิตที่เกิดจากการยืนเป็นระยะเวลานาน ทำให้ร่างกายส่งสัญญาณไปยังสมองว่าเกิดภาวะความดันโลหิตสูงมากเกินไป แต่แท้จริงแล้วร่างกายมีความดันโลหิตต่ำ ด้วยเหตุนี้สมองจึงสั่งให้หัวใจลดอัตราการเต้นให้ช้าลง ความดันโลหิตจึงลดต่ำลงกว่าเดิม
การบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือภาวะช็อก ความดันโลหิตต่ำอาจเกิดจากการบาดเจ็บที่รุนแรงและเกิดบาดแผลขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียเลือดในปริมาณมาก บางรายที่เกิดอาการช็อกเนื่องจากการได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็อาจเกิดความดันต่ำได้ นอกจากนี้ยังเกิดได้จากการติดเชื้อรุนแรง หรืออาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น
ภาวะติดเชื้อรุนแรงในกระแสเลือด (Septic Shock/Toxic Shock Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้สารน้ำในร่างกายไหลออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบข้าง
ภาวะช็อกจากอาการแพ้ (Anaphylactic Shock) เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างเฉียบพลัน ทำให้ร่างกายผลิตสารเคมีที่ชื่อว่า ฮีสตามีน (Histamine) ในปริมาณมาก ทำให้มีปัญหาทางด้านการหายใจ ลมพิษขึ้น มีอาการคัน คอบวม รวมไปถึงความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว   
ภาวะช็อกจากหัวใจทำงานผิดปกติ (Cardiogenic Shock) ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ มักเกิดขึ้นในภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
อีกทั้งความดันโลหิตปกติสามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายส่วน เช่น กิจกรรมที่ทำในขณะนั้น ความเครียด อุณหภูมิ อาหาร ช่วงเวลาในระหว่างวัน ล้วนส่งผลต่อค่าความดันโลหิตทั้งสิ้น

การวินิจฉัยความดันโลหิตต่ำ

สิ่งสำคัญที่แพทย์ต้องทราบก่อนทำการรักษา คือ ประเภทและระดับความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตต่ำที่ผู้ป่วยเป็น รวมไปถึงสภาวะที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ เพื่อการวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง

โดยปกติแพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น การตรวจร่างกายทั่วไป จากนั้นจะมีการตรวจวัดความดันโลหิตของผู้ป่วยว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ และตรวจหาภาวะช็อก ซึ่งเป็นภาวะที่ค่อนข้างอันตราย

นอกจากนี้ ในรายที่มีอาการรุนแรง มีอาการเกิดขึ้นบ่อย และการดูแลในเบื้องต้นไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นอาจจะต้องมีการตรวจด้านอื่นเพิ่มเติมตามลักษณะอาการของผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น

การตรวจเลือด (Blood Tests) ขั้นตอนการตรวจใช้เวลาไม่นานและไม่ซับซ้อน ผู้ป่วยจะนอนหรือนั่ง เพื่อเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งทำให้ทราบข้อมูลหลายส่วนในเลือด รวมไปถึงโรคโลหิตจาง หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตต่ำ
การตรวจระบบประสาทอัตโนมัติหัวใจด้วยเตียงปรับระดับ (Tilt Table Test) แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนลงบนโต๊ะตรวจเฉพาะที่ออกแบบให้สามารถปรับระดับความลาดเอียงได้ เพื่อตรวจดูค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยในขณะที่เปลี่ยนแปลงท่าทาง
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: EKG) การทดสอบสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจในแต่ละจังหวะการเต้นของหัวใจว่ามีความสม่ำเสมอหรือผิดปกติไป
การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง (Holter and Event Monitors) เป็นการบันทึกการทำงานของหัวใจตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมงด้วยเครื่องบันทึกการทำงานของหัวใจขนาดเล็กและพกพาได้ง่าย จึงทำให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้เป็นปกติ ทำให้ตรวจพบความผิดปกติได้ง่าย
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Stress Test) เป็นการตรวจดูการทำงานของหัวใจขณะออกกำลังกาย เนื่องจากความผิดปกติของหัวใจบางอย่างสามารถตรวจพบได้ง่ายเมื่อหัวใจทำงานหนักและมีการสูบฉีดมากขึ้น ซึ่งโดนกระตุ้นจากการออกกำลังกาย
การตรวจระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) เป็นการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงจังหวะการเต้นของหัวใจในขณะทำกิจกรรมบางอย่าง เพื่อวัดค่าความดันโลหิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ในขณะผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ หรือจุ่มมือลงในน้ำเย็นจัด
การตรวจปัสสาวะใน 24 ชั่วโมง (24 Hour Urine Test) แพทย์จะให้ผู้ป่วยเก็บปัสสาวะตลอดในช่วงระยะเวลา 24 ชั่วโมงลงในบรรจุภัณฑ์ที่เตรียมไว้ให้ก่อนนำกลับมาส่งคืนให้แพทย์ เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ในระหว่างนี้ควรเก็บปัสสาวะไว้ในที่เย็น
การรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ

จุดประสงค์ของการรักษาจะเป็นการมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมความดันโลหิตให้กลับมาสู่ภาวะปกติและบรรเทาอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไปตามหลายปัจจัย เช่น วัย สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย หรือการใช้ยา ทั้งนี้ วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของภาวะโลหิตต่ำและความรุนแรงของอาการเป็นหลัก

ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำระดับไม่รุนแรงและมีสุขภาพแข็งแรงสามารถควบคุมภาวะความดันโลหิตต่ำได้ด้วยการปฏิบัติตนตามคำแนะนำทั่วไป ดังนี้

หากเกิดอาการอันเนื่องมาจากภาวะความดันโลหิตต่ำ ควรนั่งพักหรือนอนลงทันทีที่มีอาการ โดยพยายามยกเท้าให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ
เคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเช้าของวัน เพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เช่น ยืดเส้นยืดสายทุกเช้าก่อนลุกขึ้นมาทำกิจกรรมอื่น ๆ ของวัน อาจเป็นการบิดตัว ไข้วขา เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันภาวะโลหิตต่ำที่เกิดจากการสื่อสารผิดระหว่างหัวใจและสมอง (Neutrally Mediated Hypotension) 
สวมใส่ถุงเท้าประเภทที่ช่วยเพิ่มความดัน (Support Stockings/Compression Stockings) ซึ่งเป็นถุงเท้าที่ทำมาจากผ้ายืด มีความยืดหยุ่นและรัดแน่น เพื่อช่วยระบบการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มความดันโลหิต แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ เพราะอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกราย
ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในตอนกลางคืน และจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจไปกระตุ้นให้เกิดภาวะความดันต่ำได้มากขึ้น
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ในมื้อเดียว แต่ควรแบ่งรับประทานอาหารทีละน้อยในแต่ละมื้อ
แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตต่ำจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือเกิดภาวะช็อกขึ้น จำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือและหาสาเหตุอย่างเร่งด่วนจากแพทย์ รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขึ้นและเป็นอย่างต่อเนื่องก็ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธีด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น

การให้น้ำเกลือ (IV Fluids) ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำจากภาวะการขาดน้ำและเกลือแร่ สูญเสียเลือด หรือเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด อาจได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อช่วยเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น
รักษาต้นเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ หากแพทย์สงสัยว่าภาวะความดันโลหิตต่ำมาจากความผิดปกติหรือโรคประจำตัว ผู้ป่วยอาจจะต้องมีการตรวจด้านอื่นเพิ่มเติมและการรักษาเฉพาะโรคนั้น ๆ เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำจากฮอร์โมนผิดปกติ อาจต้องได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนโดยเฉพาะ และรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน
การรักษาด้วยยา หากการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมตามคำแนะนำและการให้สารน้ำทางเส้นเลือดไม่สามารถบรรเทาอาการ แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าควรใช้ยาในกลุ่มใดที่เหมาะกับผู้ป่วยตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิต ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาหลายกลุ่ม เช่น
แอลฟา อะดรีเนอร์จิก รีเซพเตอร์ อะโกนิสต์ (Alpha Adrenergic Receptor Agonists) ช่วยเพิ่มความดันโลหิต และลดอาการจากภาวะความดันโลหิตต่ำ
สเตอรอยด์ (Steroid) ช่วยป้องกันการสูญเสียเกลือแร่ในร่างกาย เพิ่มปริมาณของเหลวและความดันโลหิตให้สูงขึ้น
ยาเพิ่มความดันโลหิต (Vasopressors) ออกฤทธิ์บีบหลอดเลือดให้เล็กลง เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง และลดอาการจากภาวะความดันโลหิตต่ำอื่น ๆ
ยาแอนติไดยูเรติก ฮอร์โมน (Antidiuretic Hormone) ช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดการตื่นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อย ๆ
ยาทางจิตเวช (Antiparkinson Drugs) ช่วยเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้นและลดอาการจากภาวะความดันโลหิตต่ำอื่น ๆ     
ภาวะแทรกซ้อนของภาวะความดันโลหิตต่ำ

ภาวะความดันโลหิตต่ำไม่รุนแรงอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการหกล้มได้มากที่สุด และอาจรุนแรงจนถึงขั้นทำให้สะโพกหักหรือกระดูกสันหลังร้าว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และส่งผลให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกายยากลำบากขึ้น มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา

แต่ในรายที่มีความดันลดต่ำลงจนทำให้เกิดอาการรุนแรงงอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนจนทำให้หัวใจ สมอง หรืออวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสียหาย และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษาไม่ทัน

การป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ

ภาวะความดันโลหิตต่ำแต่ละชนิดมีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน การป้องกันอาจไม่สามารถทำได้เต็มที่ แต่สามารถช่วยลดความเสี่ยงด้วยการการปฏิบัติตนตามคำแนะนำ ดังนี้

ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เกลือแร่ และเพิ่มปริมาณเลือดให้สูงขึ้น
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสารอาหารครบถ้วน เน้นอาหารประเภทผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
การลุกหรือนั่งไม่ควรเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็วมากเกินไป
ตรวจเช็คความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ โดยแบ่งรับประทานเป็นมื้อย่อย ๆ หลายมื้อ และควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น มันฝรั่ง ข้าว พาสต้า และขนมปัง ในปริมาณมาก เพื่อป้องกันความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็วหลังรับประทานอาหาร

    พิมพ์อุบล

*ขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตค่ะ
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: