ต่อไป →

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

ดวงตา VS สมาร์ทโฟน

ดวงตา VS สมาร์ทโฟน
   พฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนในแต่ละวันของพวกเรา เป็นอันตรายไร้เสียงที่ทำให้สายตาต้องรับภาระหนักหนาสาหัส
จะขนาดไหน และมีเทคนิคสร้างเกราะป้องกันภัยร้ายทำลายดวงตาอย่างไร ติดตามกันดูค่ะ

ลองมาทบทวนพฤติกรรมของตนเองในการใช้สมาร์ทโฟนแต่ละวันกัน เมื่อคุณตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า
 สิ่งแรกที่ทำคือหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็กข่าวในโซเชียลมีเดีย แม้จะทำภารกิจส่วนตัวในห้องน้ำ
สายตาคุณยังหยุดนิ่งอยู่บนหน้าจอ ขณะเดินทางออกไปทำงาน ตาคุณยังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอมือถือ
เพื่อแชตกับเพื่อนสนิท จากนั้นคุณก็ใช้เวลาอีกกว่า8 ชั่วโมงกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน

   เมื่อถึงเวลากลับบ้าน สายตาคุณกลับจับจ้องสมาร์ทโฟนเพื่อมุ่งทำคะแนนสูงสุดในเกมแข่งกับเพื่อนๆ และเมื่อกลับถึงบ้าน
 คุณไม่พลาดที่จะใช้สมาร์ทโฟนโพสต์ข้อความระบายความรู้สึกเกี่ยวกับละครหลังข่าวผ่านโลกไซเบอร์
ก่อนนอนคุณยังหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเพื่อกล่าวร่ำลากับเพื่อนๆ ในโลกไซเบอร์ของคุณ แล้วจึงเข้านอนเพื่อพักสายตา
 รอเวลาที่จะตื่นมาดำเนินชีวิตตามวงจรเดิมอีกครั้ง พอจะเห็นภาพกันแล้วหรือยังว่า พฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนในแต่ละวันของพวกเรา
ทำให้สายตาต้องรับภาระหนักหนาสาหัสขนาดไหน

ภาระที่ต้องแบกรับจากพิษสมาร์ทโฟน
   จะเห็นว่าพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนแบบผิดๆ ได้มอบภาระอันหนักหน่วงให้ดวงตาของเรามากมายขนาดไหน
ยิ่งดวงตาต้องแบกรับภาระมากเท่าไร ความเสื่อมถอยย่อมเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตา
นายแพทย์เอกอนันต์ อุตรภิชาติ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษหัวหน้ากลุ่มงานจักษุวิทยาและศูนย์เลสิค
โรงพยาบาลกลางสำนักการแพทย์ ได้กล่าวถึงปัญหาและผลกระทบต่อนัยน์ตาจากพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนอย่างผิดๆ ว่า

   “การใช้สมาร์ทโฟนติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดปัญหาตาล้าเนื่องจากใช้สายตาในการเพ่งมองมากเกินไป
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดปัญหาตาแห้งและเป็นต้อลม ต้อเนื้อ รวมไปถึงเป็นตากุ้งยิงได้ง่าย แต่ไม่ส่งผลให้สายตาสั้นมากขึ้นแต่อย่างใด
ทว่าสำหรับคนที่สายตาเอียงจะมีอาการเวียนศีรษะจากการใช้สายตาได้ง่ายกว่าปกติ เพราะแกนในดวงตาอยู่คนละระนาบกัน
ส่งผลให้การส่งสัญญาณภาพไปยังสมองผิดปกติ ดวงตาจึงต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ”

   นอกจากนี้การใช้สายตากับสมาร์ทโฟนจนเกินพอดีจะทำให้ สุขภาพตาเสื่อมถอย เกิดเป็นปัญหาตาล้าเรื้อรัง
ทำให้เวลาเพ่งมองอะไรนานหน่อยก็เริ่มเกิดอาการตาพร่าหรือปวดๆ บริเวณนัยน์ตา นับเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องอาศัยเวลาแก้ไขต่อไปอีก
ไม่เพียงเท่านั้น การใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานยังทำให้น้ำมันบนใบหน้าถูกขับออกมามาก
 เมื่อน้ำมันไหลซึมเข้าตาก็จะทำให้ เกิดอาการแสบตาขึ้นได้

   คุณหมอคนเก่งยังเสริมด้วยว่า “แม้การใช้สมาร์ทโฟนผิดๆ อาจไม่ส่งผลต่อสุขภาพดวงตาอย่างร้ายแรงเป็นรูปธรรม
 อย่างทำให้เกิดมะเร็งหรือทำให้ตาบอด แต่สมาร์ทโฟนก็มีพิษร้ายที่แฝงมาซึ่งสามารถทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ
ได้มากมายนับไม่ถ้วน “ยกตัวอย่างเช่น การใช้สมาร์ทโฟนอย่างไม่ถูกที่ถูกเวลา อาทิ การใช้สมาร์ทโฟนขณะขับรถยนต์
 ซึ่งคุณหมอเน้นย้ำว่าอันตรายมาก เนื่องจากการขับรถเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิในการเพ่งมองสูงมากดังนั้น
เมื่อเราแบ่งสายตาไปให้สมาร์ทโฟน ย่อมทำให้สมาธิในการสังเกตและเพ่งมองลดลงเป็นอย่างมาก
 นอกจากนี้หากใช้สายตาเพ่งมองสมาร์ทโฟนมากเกินไปจนเกิดอาการตาล้า อาจไม่สามารถโฟกัสภาพได้ในทันที
ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ในชั่วพริบตา หรือการใช้สมาร์ทโฟนขณะเดินจนไม่มองทาง ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้เช่นกัน

เกราะป้องกันภัยร้ายทำลายดวงตา
   ถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจถึงต้นตอแห่งปัญหาและอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้เจ้าโทรศัพท์อัจฉริยะประจำกายอย่างไม่มีลิมิตกันแล้ว
คำถามก็คือ...เราจะหลีกเลี่ยงอันตรายทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ซึ่งคุณหมอคนเก่งของเราได้แนะนำวิธีการปกป้องดูแลตนเอง
และวิธีปรับพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อถนอมดวงตาไว้ดังนี้

   - ควรใช้สมาร์ทโฟนในที่ที่มีแสงสว่างสมดุลกับแสงจากหน้าจอ เพราะหากเราใช้สมาร์ทโฟนในที่มืด
ดวงตาจำเป็นต้องสั่งให้ม่านตาขยายตัวเพื่อรับแสงเข้าเลนส์ตา แต่หากสว่างเกินไปก็จะทำให้แสงเข้าดวงตามาก
จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายกับดวงตาได้

   - ไม่ควรใช้สมาร์ทโฟนในสถานที่ที่มีการเคลื่อนไหว เช่น รถโดยสารต่างๆ
 เพราะเป็นการสร้างภาระให้ดวงตาโดยไม่จำเป็น

   - ควรใช้สมาร์ทโฟนอย่างรู้กาลเทศะ รู้ว่าที่ไหนควรเล่น ที่ไหนไม่ควรเล่น
 เช่น ไม่ควรนำสมาร์ทโฟนขึ้นมาเล่นเวลาขับรถยนต์หรือเดินบนถนนโดยเด็ดขาด ส่วนเวลากินอาหาร
แม้จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่ก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาททางสังคมอย่างหนึ่ง

   - หากิจกรรมอื่นๆ ทำนอกเหนือจากการเล่นสมาร์ทโฟน เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย ออกไปพบปะเพื่อนฝูง
กิจกรรมเหล่านี้สามารถสร้างสังคมและความสนุกที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ยิ่งกว่าการนั่งกดอุปกรณ์แสนทันสมัยอยู่กับที่มากมายนัก

   - ผู้มีปัญหาทางสายตา ควรตัดแว่นตาที่เหมาะสมกับสายตา และหยิบขึ้นมาสวมทุกครั้งก่อนใช้สมาร์ทโฟน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการตาล้าหรือวิงเวียนศีรษะง่าย

    - ดูแลดวงตาง่ายๆ ด้วยการล้างหน้า วิธีคือ หลับตาแล้วค่อยๆ ใช้สบู่ฟอกให้ทั่วทั้งหน้า
 เน้นคลึงบริเวณเปลือกตาและรอบดวงตาอย่างเบามือเป็นพิเศษ ทิ้งไว้ครู่หนึ่งแล้วล้างออก
จะช่วยล้างความมันบนใบหน้าที่เกิดจากการใช้สายตาเพ่งสมาร์ทโฟนไม่ให้ซึมเข้าดวงตา
 และยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของดวงตาได้อีกด้วย

   - หยอดน้ำตาเทียมในปริมาณที่พอเหมาะ สำหรับคนที่เกิดอาการตาแห้งจากการเล่นสมาร์ทโฟน
เมื่อน้ำตาเทียมแห้งจะตกตะกอน หากใช้น้ำตาเทียมมากเกินไป ร่างกายจะขับตะกอนเหล่านี้ออกไปไม่ทัน
เป็นเหตุให้เกิดตะกอนในตาซึ่งอาจก่ออันตรายได้ หรือให้ลองเปลี่ยนเป็นการล้างหน้าฟอกสบู่แทนการใช้น้ำตาเทียม
ก็ช่วยแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี

   - หมั่นพักสายตาด้วยการหลับตาเป็นระยะ ครั้งละประมาณ 5 – 10 นาทีเพราะวิตามินเอที่จอประสาทตา
จะทำปฏิกิริยาเคมีกับแสงอยู่ตลอดเวลาเพื่อส่งสัญญาณภาพไปยังสมอง ดังนั้น เมื่อเราหลับตา ปฏิกิริยาเคมีนี้ก็จะหยุดลง
 ทำให้ดวงตาได้พักผ่อนเองโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้การมองออกไปไกลๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้กล้ามเนื้อตา
ที่ใช้เพ่งมองได้ผ่อนคลายหลังการจับจ้องสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน

   ถึงตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะย้อนกลับมาทบทวนพฤติกรรมของตนเอง แล้วปรับเปลี่ยนเสียใหม่ให้ถูกต้อง
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยร้ายที่แฝงตัวมากับความสะดวกสบายของเจ้าเทคโนโลยีขนาดพกพานี้
มาเริ่มรักษาดวงตาคู่สวยของเราให้มีสุขภาพดีเต็มเปี่ยม พร้อมมองออกไปยังโลกกว้างอันแสนสวยงามได้อย่างเต็มที่กันค่ะ




KBeautifullife

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]

[น้องจ๋า น้องจ๋าจ้า]