| 
			| 
					
						| 
							
				                  ผู้บริหารเว็บ คะแนนน้ำใจ 65535 กระทู้: 18,093  ออนไลน์"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ " 
												
							 | 
								|    | «  เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2557, 08:40:15 AM » |  | 
 Permalink:  มารู้จัก วัคซีน “ไข้หวัด2009″ กันเถอะ
 
 วัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่หลายประเทศกำลังเร่งผลิตและทดลองกันอยู่ในขณะนี้  มารู้จัก วัคซีน “ไข้หวัด2009″ กันเถอะกลายเป็นความหวังของคนทั่วโลก ในยามที่โรคอุบัติใหม่ดังกล่าวกำลังระบาดอยู่ในตอนนี้
 ขณะที่นักวิจัยของไทยเองได้มีการสร้างเชื้อไวรัสสำหรับผลิตวัคซีนเองเหมือน กัน ทั้งวัคซีนชนิด เชื้อเป็นและ เชื้อตาย
 แต่วัคซีนชนิดไหนดี เด่น หรือด้อย อย่างไร คงต้องลองเปรียบเทียบดูหลายๆ ปัจจัย อาทิเช่น
 
 ผลิตจากอะไร?
 วัคซีนเชื้อเป็น :
 ผลิต มาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นชนิดที่อ่อนแรงไม่ก่อให้เกิดโรค
 นำมาเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วนำไปใช้เป็นวัคซีนได้เลย
 
 วัคซีนเชื้อตาย :
 เป็นการ นำเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 2009 มาพัฒนาด้วยเทคนิคทางพันธุกรรม สร้างไวรัสตัวใหม่ที่ไม่ก่อโรคขึ้นมา
 นำไปเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วทำให้ตาย เหลือแต่ส่วนผิวซึ่งมีลักษณะจำเพาะของไวรัสที่ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ แล้วจึงนำไปทำเป็นวัคซีนต่อไป
 
 วิธีการใช้?
 วัคซีนเชื้อเป็น : ใช้วิธีฉีดพ่นใส่โพรงจมูก
 วัคซีนเชื้อตาย : ฉีดผ่านทางกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง
 สามารถขับออกจากร่างกายได้หรือไม่?
 วัคซีนเชื้อเป็น : เชื้อไวรัสที่อ่อนแรงนี้ออกมากับน้ำมูก น้ำลายได้
 วัคซีนเชื้อตาย : ไม่มีเชื้อไวรัส
 
 จุดเด่น?
 วัคซีนเชื้อเป็น : สามารถ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถผลิตได้ครั้งละเป็นจำนวนมากๆ
 ภายในเวลาอันสั้น แถมยังมีต้นทุนต่ำอีกด้วย
 
 วัคซีนเชื้อตาย : ข้อดี ของวัคซีนเชื้อตายคือปลอดภัย 100% เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไม่ก่อให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยใดๆ
 สามารถให้ได้เกือบทุกคน โดยไม่มีอาการแพ้
 
 ข้อจำกัดของวัคซีน?
 วัคซีนเชื้อเป็น : ห้าม ใช้กับคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่แพ้ไข่ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ
 และผู้ที่มีความบกพร่องของ ภูมิคุ้มกัน
 
 วัคซีนเชื้อตาย : หลัง จากฉีดแล้ว ค่อนข้างต้องใช้เวลานานในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและต้นทุนในการ ผลิตก็สูง
 จำนวนที่ผลิตได้ในแต่ละครั้งต้องใช้เวลามากและได้วัคซีนค่อนข้าง น้อย และอาจสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีเท่ากับวัคซีนเชื้อเป็น
 
 ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดไหน ก็ขอให้คนไทยทำสำเร็จ สามารถนำมาใช้กับคนได้จริงๆ สำหรับตอนนี้ในขณะที่
 วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังไม่มี พวกเราก็ต้องใช้วิธีดูแลตัวเองไปก่อน พยายามป้องกันอย่าให้ป่วยเป็นโรคนี้
 ด้วยการล้างมือบ่อยๆ หากยังไม่ได้ล้างมือก็อย่านำมือมาขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบสิ่งของเข้าปาก ไอจามใส่กระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้า
 และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการสวมหน้ากากอนามัยทันทีที่ไม่สบายหรือเป็น หวัด
 สำหรับคนปกติหากเข้าที่แออัดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองรับเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว
 หากพวกเรา “รวมพลังกันสู้หวัด” ตามมาตรการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เชื่อว่า
 เราจะสามารถเอาชนะเจ้าไข้หวัด2009 ได้อย่างแน่นอน
 
 1+1 ใน 5 = สัญญาณอันตราย
 วิธีง่ายๆ ที่ใช้สังเกตอาการไข้หวัด 2009
 ลดความกังวลใจ ลดความเสี่ยงในการไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น
 
 ถ้ามีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส ร่วมกับ ไอ เจ็บคอ ให้ดูว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหนักหรือเปล่า
 ถ้าใช่ต้องไปหาหมอทันที
 
 ถ้าไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ข้อมูลกลุ่มเสี่ยงอยู่ในหมวดการรักษา) ในเบื้องต้นให้กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้
 
 ถ้า กินยาพาราเซตามอลแล้ว อาการขั้นแรกยังมีอยู่ นั่นคือ ไข้สูง ไอ เจ็บคอ แล้วก็มีอาการเพิ่มเติมเพียงแค่ 1 ใน 5
 สัญญาณอันตราย ก็ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน นั่นคือ
 1. ปวดหัวมากแม้กินยาพาราเซตามอลก็ยังไม่ดีขึ้นนัก
 2. เบื่ออาหารอย่างมาก ไม่อยากกินอะไรเลย น้ำก็ไม่อยากดื่ม
 3. เหนื่อย อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก
 4. ไอแล้วเหนื่อย หรือไอแล้วเจ็บเฉพาะที่ ไอแล้วเจ็บหน้าอก
 5. มีอาการท้องเสียหรืออาเจียน
 
 เรียก ว่าถ้ามี 1 อาการหลัก(ไข้ ไอ เจ็บคอ) ร่วมกับอาการที่เป็นสัญญาณอันตราย อย่างน้อย 1 ใน 5 ดังกล่าว
 ก็ต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน จำไว้ว่า 1+1 ใน 5 = สัญญาณอันตราย
 
 *แต่ถึงแม้จะไม่มีอาการร่วม 1 ใน 5 สัญญาณอันตราย แต่ถ้าพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน 2 วัน แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย
 ก็จะต้องไปหาหมอเช่นกันห้ามกินยาแอสไพรินโดยเด็ดขาด
 เพราะอาการของไข้หวัดใหญ่นั้นจะใกล้เคียงกับไข้เลือดออก ซึ่งถ้าเป็นไข้เลือดออกหากเรากินยาแอสไพรินเข้าไปอาจทำให้ภาวะเลือด
 ออกรุนแรงขึ้นหรือเลือดออกมากขึ้น แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่การกินยาแอสไพริน อาจจะทำให้เกิดอาการ สมองบวม ปวดหัว
 จนถึงไม่รู้สึกตัวและในบางรายอาจถึงขั้นตับวายได้
 
 กินยาปฏิชีวนะ ไม่ช่วยอะไร
 เพราะไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส  จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะมีไว้สำหรับจัดการเจ้าเชื้อแบคทีเรีย
 ยกเว้นว่าพบเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จึงค่อยรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
 
 
 ข้อมูลจากทีมงาน flu2009thailand.com  |  
						| 
								|  |  
								|  |  บันทึกการเข้า | 
 
 |  |  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  | 
	|  |